ผ่านพ้นไปกว่า 3 ปีแล้ว แต่โครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ช่วงบางขุนนนท์ – มีนบุรี (สุวินทวงศ์) ภายใต้ การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) ยังไม่รู้ว่าจะจบแบบไหน อย่างไร แม้ว่าการประมูลครั้งที่ 2 จะเกิดขึ้น โดย บริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) (BEM) เป็นเอกชนที่ได้รับการคัดเลือก
ล่าสุด นายนรินท์พงศ์ จินาภักดิ์ นายกสมาคมทนายความแห่งประเทศไทย แสดงความเห็นเพิ่มเติมกับทีมข่าว TOPNEWS ว่า ในฐานะองค์กรทางกฎหมาย สมาคมทนายความแห่งประเทศไทย ถือเป็นหน้าที่ต้องชี้นำในสิ่งที่มองว่าไม่ถูกต้องที่เกิดขึ้นในสังคมไทย เพราะหากมีการปล่อยปละละเลยไป หากมีคำถามว่า มีการฮั้วเกิดขึ้น แล้วประเทศจะอยู่เช่นไร เพราะโครงการนี้ มีส่วนต่างในเรื่องผลประโยชน์จากการประมูลครั้งที่ 1 และ 2 เกิดขึ้นถึงกว่า 68,000 ล้านบาท
นายนรินท์พงศ์ ระบุด้วยว่า เรื่องที่เกิดขึ้นได้มีการติดตามมาตั้งแต่ปี 2563 ที่คุณจิรายุ ห่วงทรัพย์ ได้นำเรื่องรถไฟฟ้าสายสีส้ม มาอภิปรายในรัฐสภาอย่างร้อนแรง ที่มีการกำหนดเพื่อเปลี่ยนหลักเกณฑ์ เปลี่ยนทีโออาร์ เพื่อจะเอื้อประโยชน์ ให้อีกฝ่ายหนึ่ง
สาระสำคัญของโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม เริ่มเกิดขึ้นตั้งแต่ปี 2554 ซึ่งคณะรัฐมนตรี(ครม.) ได้รับทราบว่าจะมีการดำเนินการโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ระยะทาง 35.9 กิโลเมตร และก่อนที่รัฐบาลจะอนุมัติ จะต้องส่งทีมสำรวจ ตรวจสอบเส้นทางพร้อมกำหนดรายละเอียดต่างๆ และทำแบบศึกษาผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้น โดยใช้เงินในการทำการศึกษาแผนต่างๆ จำนวนมาก เพื่อกำหนดสเปคของรูปแบบการก่อสร้าง สเปคของผู้รับเหมา กว่าที่จะมีการเสนอโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม สามารถดำเนินการได้หรือไม่
และ ในปี 2554 ครม. ได้มีการอนุมัติให้มีการศึกษาโครงการฯ ซึ่งทีมศึกษาพร้อมจ่ายเงินค่าจ้างให้ผู้ดำเนินการ เนื่องจากโครงการนี้มีเส้นทางที่ยาวสุด วงเงินโครงการจึงมีมูลค่าสูงกว่า 2 แสนล้านบาท เพราะมีการลอดแม่น้ำเจ้าพระยา และผ่านเกาะรัตนโกสินทร์ สิ่งสำคัญคือเรื่องของเทคนิค ในการก่อสร้างที่ปลอดภัย ซึ่งจะต้องมีการเสนอผู้รับเหมาที่มีคุณสมบัติดังกล่าว และ โครงการนี้ ใช้ระยะเวลาศึกษาถึง 7 ปี ก็เห็นว่า สามารถดำเนินการได้ รวมถึงแบบการลงทุนทุกอย่างเพื่อเสนอครม. พิจารณา หลังจากนั้นครม. ได้มีการอนุมัติ หลักการ เรื่องโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้มในปี 2563 และครม. เห็นว่าในเรื่องหลักการหากมีการขายซองเสนอราคา คณะกรรมการมาตรา 36 จะต้องมีหน้าที่ตรวจ คัดเลือกว่าใครจะได้เป็นผู้รับเหมา ซึ่งกฎหมายได้กำหนดไว้ชัดเจน
โดยคณะกรรมการมาตรา 36 จะต้องไปดำเนินการร่างหลักเกณฑ์ เกี่ยวกับคุณสมบัติของผู้รับเหมาว่าจะต้องมีคุณสมบัติเช่นไร เพื่อเปิดขายซองเสนอราคา และเมื่อการดำเนินการทั้งหมดเป็นไปอย่างถูกต้องครบถ้วนกระบวนความ จึงมีกำหนดในการซื้อซองเสนอราคาโดยภาคเอกชนที่สนใจจะเข้ามาร่วมลงทุนในครั้งนี้
นายนรินท์พงศ์ กล่าวว่า จากที่รับทราบมีเอกชนสนใจซื้อซองเสนอราคากว่า 10 ราย แต่มีผู้ที่สนใจยื่นซองเสนอราคาเพียงแค่ 2 รายเท่านั้น ซึ่งก็คือ บริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BTSC และ บริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BEM แต่ปรากฏว่าในการยื่นสองครั้งนั้นไม่ได้มีการเปิดซองเสนอราคา เพราะมีการร้องเรียนไปยังคณะกรรมการมาตรา 36 ว่า ไม่ให้ทำ ไม่สามารถทำได้เพราะมีการกำหนดสเปคให้มี การลอดแม่น้ำเจ้าพระยา ซึ่งจะต้องใช้ผู้เชี่ยวชาญระดับสูง
ซึ่งทำให้มีข้อสังเกต ว่า หนังสือโต้แย้งหรือหนังสือคัดค้านฉบับดังกล่าว ไม่ได้มาจากหน่วยงานเอ็นจีโอหรือหน่วยงานของรัฐ แต่มาจากอิตาเลียนไทย ที่ยื่นไปยังคณะกรรมการมาตรา 36 และเห็นด้วยจึงสั่งให้มีการหยุดการขายซอง ก่อนจะดำเนินการแก้ไขเปลี่ยนแปลงหลักเกณฑ์ใหม่ ซึ่งเป็นข้อพิรุธที่สังเกตได้จากการอภิปรายของนายจิรายุ โดยสมาคมฯ ได้มีการศึกษาตามมาอย่างต่อเนื่อง จนนำมาสู่การยกเลิกการประมูลครั้งที่หนึ่ง
และ BTSC ได้ยื่นฟ้องศาลปกครอง โดยระบุว่าการยกเลิกการประมูลและการแก้ไขทีโออาร์ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งศาลปกครองระบุว่า จากการไต่สวน การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย(รฟม.) ได้กระทำการไม่ชอบด้วยกฎหมายเพราะทำการแก้ไขหรือเปลี่ยนแปลงหลักเกณฑ์เป็นการไม่ชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งรฟม. ได้มีการยื่นอุทธรณ์เพื่อระบุว่าสิ่งที่ตนเองดำเนินการนั้นเป็นการดำเนินการถูกต้องตามกฎหมาย ซึ่งจะต้องมีการต่อสู้คดีกันยาว
ทาง Facebook ของสมาคมทนายความแห่งประเทศไทย ได้เขียนไว้ว่า การกระทำดังกล่าวเป็นการเลี่ยงบาลี เพราะไม่ได้สู้ในเรื่องที่ได้ยื่นอุทธรณ์ ว่า เรื่องที่ BTSC ยื่นหรือรฟม.ยื่นเป็นเรื่องที่ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ หลังจากนั้น ไม่นานทางด้านของรฟม. ได้มีการถอนอุทธรณ์ทิ้ง เพราะมีกุนซือดี เพราะเมื่อถอนอุทธรณ์ทิ้ง คำวินิจฉัยนั้นจะตกไป เพราะรฟม. มีอำนาจไปดำเนินการใหม่ จะเห็นได้ว่า เรื่องนี้จากที่จะพิสูจน์ว่าการกระทำของฝ่ายใดถูกหรือผิดแต่กลับจบลงด้วยช่องว่างทางกฎหมาย หลังจากนั้นรฟม. ได้ดำเนินการแก้ไขหลักเกณฑ์ใหม่
โดยในส่วนของหลักเกณฑ์เก่านั้น ไม่ว่าผู้ประกอบการรายใดจะชนะการประมูล จะเป็นหลักเกณฑ์เทคนิค + ราคา ซึ่งบริษัทที่จะผ่านคุณสมบัติจะต้องมีเรื่องเทคนิค และที่สำคัญคือราคาจะต้องต่ำสุด จึงมีการตั้งคำถามว่าในวันนั้นฝ่ายใดเป็นผู้เสนอราคาต่ำสุดก็ไม่สามารถตอบได้เพราะไม่มีการเปิดซองเสนอราคา แต่วันนี้เมื่อมีการเปิดซองเสนอราคาของบีทีเอส หากไม่มีการแก้ไขหลักเกณฑ์การประมูล และมีการประมูลอย่างถูกต้องทางบีทีเอส ได้เสนอขอเงินสนับสนุนจากรัฐบาลอยู่ที่ประมาณ 9,000 ล้านบาท ซึ่งในโครงการร่วมทุนเช่นนี้จะต้องมีทั้งเงินรัฐบาลและเงินจากเอกชนมาร่วมกัน
โดยหลังจากที่มีการยกเลิกการประมูลในครั้งแรกและนำมาสู่การประมูลในครั้งที่ 2 ได้มีการกำหนดหลักเกณฑ์ หรือทีโออาร์ใหม่ ก็มีการกำหนดหลักเกณฑ์มากมาย มีการคัดคุณสมบัติ และมีการล็อคสเปคให้เหลือผู้ประกอบการกี่ราย ซึ่งตนเองได้นำข้อมูลมาจากหลายหลายส่วน ทั้งจากคณะกรรมาธิการคมนาคม เพื่อมาวิเคราะห์ และได้ออกมาชี้แจงว่า ทีโออาร์ใหม่เมื่อกำหนดแล้ว ทำให้การได้งานใหม่ของผู้รับเหมาใหม่ จากเดิมบริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BTSC ยื่นเสนอประมูล ขอรับเงินสนับสนุน ที่ 9,000 ล้านบาท และผู้ประกอบการรายใหม่ บริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BEM เปิดซองเสนอราคาได้ขอสนับสนุนจากภาครัฐ อยู่ที่ 78,000 ล้านบาท ซึ่งเมื่อนำมาเปรียบเทียบกับบีทีเอสจะทำให้มีส่วนต่างอยู่ที่ 68,000 ล้านบาท
ดังนั้น จึงไม่ต้องหาคำตอบว่าการดำเนินการนั้นเป็นการล็อคสเปค ให้ใครหรือไม่ แต่ต้องการถามว่าเหตุใดเมื่อปี 2563 หากปล่อยให้มีการชนะประมูลเกิดขึ้น รัฐบาลจะเสียเงินสนับสนุนไม่เกิน 9,000 ล้านบาท ซึ่งขณะนี้โครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ผ่านมาแล้วกว่า 3 ปี ประชาชนต้องการที่จะใช้บริการจำนวนมาก