ประเด็นฮอตปิดท้ายการประชุมครม.ปลายปีนี้ กลายเป็นข่าวใหญ่ว่าเกิดการงัดข้อระหว่างการประชุมครม.ของ ๒ พรรคการเมืองใหญ่ คือ พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) กับ พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) สืบเนื่องจากวาระการแต่งตั้งตำแหน่ง อธิบดีกรมฝนหลวงและการบินเกษตร โดยต้นเรื่องทางกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เสนอรายชื่อ “ สุพิศ พิทักษ์ธรรม” รองอธิบดีฯขึ้นเป็นอธิบดีกรมฝนหลวงคนใหม่ แต่ถูกสุนทร ปานแสงทอง รมช.เกษตรและสหกรณ์ จากพปชร. ยกมือทักท้วงไม่เห็นด้วย ทำให้ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ ต้องกดไมค์ถามนางณัฐฎ์จารี อนันตศิลป์ เลขาฯครม.ว่า รมต.สามารถทักท้วงการแต่งตั้งในที่ประชุมได้หรือไม่ โดยเลขาฯครม. ชี้แจงว่า ทำได้ ก่อนที่การพิจารณาจะผ่านจากเรื่องนั้นไป
แต่หลังจบการประชุมในวาระต่างๆ ฝ่าย “อู๊ดด้า” จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกฯและรมว.พาณิชย์ ในฐานะหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งเป็นรองนายกฯที่กำกับดูแลกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้หยิบยกเรื่องดังกล่าวขึ้นหารืออีกครั้งก่อนจบประชุม โดยระบุว่า ตนเองเป็นคนกำกับดูแลกระทรวงเกษตรฯ และได้โทรศัพท์พูดคุยกับ “เสี่ยต่อ” เฉลิมชัย ศรีอ่อน รมว.เกษตรและสหกรณ์ ที่การประชุมครม.วานนี้เจ้าตัวไม่ได้อยู่ในที่ประชุม ยืนยันว่าจะเสนอชื่อสุพิศเป็นอธิบดีกรมฝนหลวง ส่งผลให้ “ลุงป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ ในฐานะหัวหน้าพรรคพปชร.ต้องออกโรง แย้งว่าตำแหน่งอธิบดีกรมฝนหลวง เป็นโควตาในกำกับของรัฐมนตรีพปชร. และได้ตกลงกับเฉลิมชัยแล้วว่าจะเป็นคนอื่นไม่ใช่สุพิศ ร้อนถึง “บิ๊กป๊อก”พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย ที่ทนฟังอยู่นานแสนนานต้องกดไมด์แสดงความเห็นว่า “ ในที่ประชุมครม.เป็นที่ศักดิ์สิทธิ์ ไม่ควรยกเรื่องโควตาพรรคมาพูดกัน และตามกฎหมายผู้มีอำนาจแต่งตั้งอธิบดีคือปลัดกระทรวงเกษตรฯ” พอได้ยินบิ๊กป็อกพูดแบบนั้น ฝ่ายสันติ พร้อมพัฒน์ รมช.คลัง ในฐานะเลขาธิการพปชร.ก็พูดสนับสนุนการรักษาสิทธิ์ของลุงป้อมทันทีความว่า “ เมื่อมีการแบ่งงานกันแล้วก็ควรให้เกียรติรมช.ที่กำกับดูแลหน่วยงานต่างๆ ไม่เช่นนั้นจะมีรมช.ไว้ทำไม” ฝ่ายจุรินทร์ จึงสวนออกมาทันควันว่า “ เป็นสิทธิของรัฐมนตรีว่าการในการแบ่งงานในกระทรวง จะมอบหมายให้ใครทำอะไร” พอเห็นว่าบรรยากาศในครม.เริ่มมาคุ เพราะรมต.เถียงกันจนคอเป็นเอ็นพาลจะพาให้ครม.พัง บิ๊กตู่จึงตัดบทว่าเรื่องนี้ให้ผ่านไปก่อนในส่วนของการแต่งตั้งของก.เกษตรฯทั้ง ๑๑ ตำแหน่ง ระหว่างนี้ยังอยู่ในขั้นตอนเปลี่ยนแปลงได้
ไปๆมาๆเรื่องที่ไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นเรื่องก็กลายเป็นเรื่องขึ้นมาจนได้ ปมปัญหาการแต่งตั้งอธิบดีกรมฝนหลวงมีอยู่ ๒ ขยักซ้อนกัน ปมแรกคือการงัดกันระหว่างพรรคสีฟ้ากับพรรคลุงป้อมย้อนอดีตกลับไปยาวๆก่อนหน้านี้ปชป.กับ พปชร. เคยมีเรื่องงัดข้อกันบ่อยครั้งในกระทรวงเกษตรฯ ช่วงปี ๒๕๖๔ ในยุคที่มี “ผู้กองนัส” ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า เป็นรมช.เกษตรฯ ครั้งแรกก็เป็นเรื่องของการแบ่งพื้นที่จังหวัดให้รัฐมนตรีรับผิดชอบ ตอนนั้นก็เป็นลุงป้อมนี้แหละที่แบ่งจ.สงขลากับจ.ภูเก็ตให้ร.อ.ธรรมนัสไปดูจนปชป.ออกมาโวยนายกฯว่าแบ่งพื้นที่แบบ “ผิดฝาผิดตัว” แทนที่จะให้เจ้าของพื้นที่ดูแลจ.ภาคใต้กลับให้รมต.ภาคอื่นมาดูงานแทน แถมทั้ง ๒ จังหวัดยังเป็น “ไข่มุกอันดามัน-เพชรงามอ่าวไทย” ฐานที่มั่นของปชป.เป็นใครจะยอมให้ ต่อมาผู้กองโดนปลดเพราะมีเรื่องล้มนายกฯ จู่ๆ ลุงป้อมก็ลักไก่เสนอครม.ยึด ๔ กรม ที่อยู่ในความดูแลของร.อ.ธรรมรัส ประกอบด้วย ๑.กรมพัฒนาที่ดิน ๒.ส.ป.ก. ๓.กรมการบินและฝนหลวง และ ๔.อ.ต.ก. ให้ไปขึ้นตรงกับตัวเอง ทั้งๆที่เมื่อรมช.ถูกปลดพ้นออกไปแล้ว อำนาจทั้งหมดควรกลับไปอยู่ที่รมว.เกษตรฯอย่างเสี่ยต่อ ตอนนั้นก็เป็นเรื่องเป็นราวใหญ่โตมาทีนึงแล้ว มารอบนี้ก็มาฉายหนังซ้ำเรื่องของยึดเก้าอี้อธิบดีกรมฝนหลวงฯว่าเป็นโควต้าของพปชร.อีก
ปัญหาขยักแรกว่าเดือดแล้ว ปัญหาขยักสองนี้หนักกว่า กรณีที่บิ๊กป็อกออกมาสวนลุงป้อมแม้จะเกิดขึ้นสั้นๆใช้คำไม่กี่ประโยค แต่ก็แฝงนัยยะสะท้อนสถานภาพภายในของ ๓ ป. บูรพาพยัคฆ์ ที่ประกอบด้วย “ลุงป้อม-บิ๊กป๊อก-บิ๊กตู่” ชัดเจน ว่าวันนี้แตกยับแบบกู่ไม่กลับแล้ว ก่อนหน้านี้ถ้ายังจำกันได้ดี ในศึกอภิปรายไม่ไว้วางใจปีนี้ ๒๕๖๕ บิ๊กป๊อกเคยถูกส.ส.ก๊วนปากน้ำใต้ปีกของ “เสี่ยเอ๋” ชนสวัสดิ์ อัศวเหม บ้านใหญ่สมุทรปราการ ที่มีความสนิทสนมกับ “ ป.ที่ ๔” ซึ่งเป็นน้องรักของลุงป้อมวางยามารอบนึงแล้ว ด้วยการยกมือไม่ไว้วางใจสวนมติพรรค ตอนนั้นบิ๊กป๊อกได้รับคะแนนไม่ไว้วางใจ ๒๑๒ เสียง ไว้วางใจ ๒๔๕ เสียง งดออกเสียง ๑๓ เสียง ปรากฏว่าใน ๖ เสียงที่ไม่ไว้วางใจในนั้นมีส.ส.กลุ่มปากน้ำจากพปชร.ถึง ๖ คน ประกอบด้วย ๑.กรุงศรีวิไล สุทินเผือก ส.ส.เขต ๕ สมุทรปราการ ๒.ฐาปกรณ์ กุลเจริญ ส.ส.เขต ๖ สมุทรปราการ ๓.ต่อศักดิ์ อัศวเหม ส.ส.บัญชีรายชื่อ ๔.น.ส.ภริม พูลเจริญ เขต ๓ สมุทรปราการ ๕. ยงยุทธ สุวรรณบุตร เขต ๒ สมุทรปราการ และ ๖.อัครวัฒน์ อัศวเหม เขต ๑ สมุทรปราการ ยกมือสวนมติพรรคแล้วยังไม่ถูกลงโทษไม่ถูกลงทัณฑ์ เลือกปฏิบัติใช้วิธีการสองมาตราฐานต่างจากสมัย “ก๊วนดาวฤกษ์” ของมาดามเดียร์ที่งดออกเสียง “เสี่ยโอ๋” ศักดิ์สยาม ชิดชอบ รมว.คมนาคมจนถูกลงโทษทั้งแก๊งค์ยังไม่พอ รุ่งขึ้นถัดมาลุงป้อมยังลงพื้นที่ไปปากน้ำเอาใจส.ส.กลุ่มที่ทำผิด แถมอวยยศพูดโอ๋กันสุดลิ่มทิ่มประตูพูดจาเอาอกเอาใจทำนองว่ากวาดส.ส.ยกจังหวัดแบบนี้ต้องได้เก้าอี้รัฐมนตรีเป็นรางวัลแล้ว รอบหน้าปรับครม.จะดูให้ ที่สุดก็นำมาสู่การประเคนเก้าอี้รมช.เกษตรฯให้กับกลุ่มปากน้ำ และเสี่ยเอ๋ก็ยกตำแหน่งเสนาบดีที่ว่าให้กับสุนทร จนได้เข้ามาเป็นหนึ่งในครม.เรือแป๊ะรุ่นสุดท้ายในคราวนี้
ความแตกแยกระหว่าง ๓ ป.มีเค้าลางก่อตัวมานานแล้ว โดยเฉพาะระหว่างลุงป้อมกับบิ๊กตู่มีเรื่องราวระหองระแหงกันมาตลอดเรียกว่านับไม่ถ้วน แต่สำหรับลุงป้อมกับบิ๊กป๊อกที่สวนกันจริงๆงัดกันหนักจนเป็นข่าวก็คือตอนศึกซักฟอกที่ผ่านมา แต่บิ๊กป๊อกพี่กลางดูจะเก็บอาการไม่ตอบโต้ไม่ซัดกลับพี่ใหญ่ ๓ ป.แต่อย่างใด แถมก่อนหน้านี้ เมื่อ ๒๔ พ.ย. ๒๕๖๕ ระหว่างเป็นประธานพิธีเปิดการอบรมสัมมนา “การพัฒนาศักยภาพของท้องถิ่นสู่ความเป็นเมือง ตามหลักการกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่นไทย” ณ.จ.เชียงใหม่ ต่อหน้าผู้บริหารองค์การบริการส่วนตำบล (อบต.) ๕,๓๐๐ แห่งทั่วประเทศ บิ๊กป๊อกเคยพูดจาเหมือนต้องการจะวางมือประมาณว่า “ผมก็เป็นคนแก่คนหนึ่งที่อยากบอกท่านว่า ผมก็ถ้อยทีถ้อยอาศัยกับท่านนั่นแหละ ผมก็อยู่เชียร์ท่านอีกไม่กี่เดือน แล้ววันหนึ่งผมก็จะไปเดินกินก๋วยเตี๋ยวในพื้นที่ท่าน เป็นตาแก่คนหนึ่งก็ดูแลด้วย โกรธก็อย่ามาเตะมาต่อย เตะไปก็เปลืองแรงเปล่าๆ เดี่ยวก็ตายแล้ว ไม่เกิดประโยชน์กับตัวท่านเอง ท่านมีจิตใจที่จะทำงานเพื่อสังคมแต่ไฟผมหมดแล้วให้ท่านทำไป ผมเป็นกำลังใจให้แล้วจะทำในส่วนที่ทำได้” มท.๑ กล่าวมีการวิเคราะห์กันว่าที่บิ๊กป๊อกพูดออกมาแบบนั้น เพราะสะท้อนใจเห็นสัจธรรมชัดว่า ๓ ป.แตกแล้วไปต่อไม่ได้แล้ว ครั้นจะไปต่อกับฝ่ายใดก็ลำบากใจ ไม่ว่าจะอยู่กับลุงป้อมหรือไปอยู่รทสช.กับบิ๊กตู่ แต่ภายหลังจากที่ออกมาสวนลุงป้อมเบรกพี่ใหญ่จนหัวทิ่มดินกลางครม. คล้ายส่งสัญญาณหมดแล้วความนับถือถึงเวลาดับเครื่องชน ได้เวลาคิดบัญชีแค้นแบบเชือดนิ่มๆตามสไตล์ “หน้าชัด หลังเหลอ”
จากนี้ที่คิดว่าอนาคตทางการเมืองของบิ๊กป๊อกอาจวางมือ เจอดอกนี้ไปอาจจะไม่แล้ว อย่าลืมว่าชื่อเสียง บารมี อำนาจ ของพี่กลาง ๓ ป.อย่างบิ๊กป็อกนั้นไม่ธรรมดา ในบรรดาพี่น้อง ๓ ป. ชื่อเสียงของบิ๊กป๊อกอาจจะน้อยกว่าใครเพื่อน แต่บอกเลยว่าเหลี่ยมคูทางการเมืองของบิ๊กป๊อกนั้นไม่เป็นสองรองใคร ภาษาไทยเข้าทำนอง “คมในฝัก” สุภาษิตจีนก็ประมาณ “เหยียบเมฆาไร้รอย” อย่าลืมว่าพล.อ.อนุพงษ์ถือเป็นนายทหารที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมาโชกโชน อดีตเคยเป็นนักเรียนเตรียมทหารรุ่น ๑/๑๐ (ตท.๑๐) เป็นเสียงข้างน้อยเป็นคนละฝ่ายอยู่คนละพวกกับทักษิณ ชินวัตร ขาใหญ่ตท.๑๐ ช่วงทักษิณอำนาจบารมีกร้าวแกร่งก็ยังทำอะไรบิ๊กป๊อกไม่ได้ ตอนขึ้นเป็นผบ.ทบ.ครองอำนาจในรั้วแดงกำแพงเหลืองยุค “ลุงหมัก” สมัคร สุนทรเวช หลายคนก็คิดว่าบิ๊กป๊อกต้องจอดแน่คราวนี้ แต่ทำไปทำมากลับกลายเป็นขาเข้าถูกคอกับลุงหมัก เส้นทางรับราชการในกองทัพของบิ๊กป๊อกก็ไม่ธรรมดาเพราะเป็นสายคอมมานด์มาตลอด ผู้การร.๒๑ รอ. (ทหารเสือราชินี) , ผบ.พล.๑ รอ. ,แม่ทัพภาคที่ ๑ ,ผช.ผบ.ทบ. และ ผบ.ทบ. เป็นนายทหารที่อยู่ในเหตุการณ์สำคัญๆมาทุกยุคสมัย นั่งเป็นทบ. ๑ นานถึง ๒ ปี ๓๖๔ วัน ก็ส่งมอบตำแหน่งให้น้องรักอย่างบิ๊กตู่เป็นผบ.ทบ.ต่อไป หลังบิ๊กตู่เข้าควบคุมอำนาจเมื่อ ๒๒ พ.ค.๒๕๕๗ มีการตั้งรัฐบาลขึ้นมาบริหารประเทศ บิ๊กตู่ก็ตั้งบิ๊กป๊อกพี่เลิฟคนนี้แหละเป็นรมว.มหาดไทยคุมผู้ว่าฯทั่วประเทศมาตลอด รับตำแหน่งตั้งแต่ ๓๐ ส.ค.๒๕๕๗ เป็นมท.๑ ยาวนาน ๘ ปี ๑๑๕ วัน โดยไม่มีการเปลลี่ยนคนอื่นมาแทนเลย ลองคิดดูว่าบารมีในกองทัพของบิ๊กป๊อกก็เหลือๆแล้ว เพราะเป็นผบ.ทบ.เกือบ ๓ ปี เป็นระดับบิ๊กๆของกองทัพมาทั้งหมด ตั้งลูกน้องวางขุมข่ายเป็นแม่ทัพนายกองมามากมายมหาศาลขนาดไหนในวงการท็อปบู๊ตก็ว่ามหาศาลแล้ว ข้ามมาวางตัวพ่อเมืองคุมจังหวัดดูแลอำเภอบริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น มีอำนาจเบ็ดเสร็จต่อเนื่องยาวนานขนาดไหนแทบไม่ต้องพูดถึง เผลอๆวันนี้บารมีในกองทัพของลุงป้อมอาจเป็นรองบิ๊กป๊อกกับบิ๊กตู่ก็เป็นได้ เพราะขาดจากกองทัพห่างจากการวางกำลังแม่ทำนายกองมานานแล้วนาน แต่ในกระทรวงคลองหลอดมหาดไทยบอกเลยบิ๊กป๊อกเป็นเบอร์ ๑ ในตองอูไม่มีป.ไหนจะมาสู้ได้ บิ๊กป๊อกกับมาฮึดขวางลำลุงป้อมกลางครม.แบบนี้ จับตา “เสือซ่อนเล็บ” ถึงเวลาพยัคฆ์คำราม หรือจะเป็นการส่งสัญญาณของบิ๊กป๊อกจะลุยการเมืองช่วยน้องรักอย่างบิ๊กตู่ประคองรทสช.ลุยเลือกตั้งต่อ เหลือเวลาอีก ๒ ปีภารกิจน้องรักจบถึงเวลาตอนนั้นค่อยกลับบ้านพร้อมบิ๊กตู่ก็ยังได้
//////////////