“ไตรรงค์” ผลักดัน นโยบาย 3 ส. หลังประกาศร่วมทางรวมไทยสร้างชาติ

ไตรรงค์ ผลักดัน นโยบาย 3 ส. ! สะอาด สว่าง สงบ หลังประกาศร่วมทางรวมไทยสร้างชาติ

วันที่ 30 ธ.ค. 2565 นายไตรรงค์ สุวรรณคีรี ที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรี โพสต์ข้อความบนเฟซบุ๊กว่า #ร่วมทาง #รวมไทยสร้างชาติ #พัฒนา3ส ผมขอผลักดันนโยบายเพื่อให้เกิด “ความสะอาด สว่าง และสงบ” ตั้งแต่ผมได้ประกาศร่วมทางกับ พรรครวมไทยสร้างชาติ ไปเมื่อวานซืน ผมได้เคยให้สัมภาษณ์ไปบ้างแล้วในเรื่องปัญหาของประเทศที่ต้องแก้ไขอย่างเร่งรีบก่อน สำหรับบางท่านที่อาจจะยังไม่ได้ฟังการสัมภาษณ์เหล่านั้น ผมขอสรุปแนวคิดหลักของผม ซึ่งก็คือนโยบาย #3ส ให้ฟังตามนี้นะครับ

 

ข่าวที่น่าสนใจ

#1 #นโยบายเพื่อให้เกิดความสะอาด

หมายถึง นโยบายในการปฏิรูปกฎหมายและระเบียบต่างๆ ของทุกกระทรวง ทบวง กรม เพื่ออุดช่องโหว่ ป้องกันการเกิดทุจริตคอรัปชันโดยข้าราชการชั่วและนักการเมืองเลวให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะมีการออกกฎกระทรวงและระเบียบต่างๆของกรมเพื่อเพิ่มขั้นตอนที่ต้องให้ข้าราชการได้ใช้ดุลยพินิจในการขออนุญาตต่างๆในปัจจุบันมีความคลุมเครือไม่ชัดเจน และมีความซ้ำซ้อนกับหน่วยงานอื่นๆอยู่มาก เป็นเหตุให้เกิดการรีดไถ เรียกเงินใต้โต๊ะจนนักธุรกิจเดือดร้อนกันไปทั่วตั้งแต่ขั้นตอนการขอเปิดกิจการจนถึงการส่งออก (เช่นระเบียบที่ออกประกาศของกรมปศุสัตว์และกรมประมงเกี่ยวกับสินค้าส่งออกและนำเข้าที่บังคับให้ต้องขออนุญาตจากพวกตนเพิ่มขึ้นจากการเคยขออนุญาตเฉพาะเพียงกรมศุลกากรเพียงแห่งเดียว เป็นต้น แต่เฉพาะผู้เขียนเองก็ยังไม่ปรากฎข้อมูลที่กล่าวหาว่าเกิดการทุจริตคอรัปชันจากทั้ง 3 กรมในเรื่องนี้ แต่ได้แอบจ้องดูอยู่เหมือนกัน )

แต่การโกงกินคอรัปชันซึ่งมีอีกหลายรูปแบบไม่ว่าจะเกิดจากการซื้อขายตำแหน่งกัน คนที่ซื้อตำแหน่งก็ต้องไปโกงเอาคืนไม่จากงบประมาณการก่อสร้างก็ต้องรีดคืนจากลูกน้อง ลูกน้องก็ต้องไปรีดคืนจากประชาชน เป็นต้น โดยเฉพาะการคอรัปชันประเภทหลังนี้ถ้าเกิดขึ้นในกระบวนการยุติธรรมขั้นต้นๆ ก็จะทำให้ระบบยุติธรรมมัวหมองไม่เป็นที่ไว้วางใจจากทั้งคนไทยและคนต่างประเทศ สิ่งผิดกฎหมายและศีลธรรมก็จะเต็มแผ่นดิน เหล่านี้เป็นความสกปรกที่นับวันจะพอกพูนมากขึ้นเรื่อยๆ ถ้าไม่รีบชะล้างจะเป็นภัยต่ออนาคตของชาติอย่างแน่นอน

#2 #นโยบายเพื่อให้เกิดความสว่าง

ในทางธรรม ความสว่างจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อ “เราลืมตาตื่น” ตราบใดที่เรายังหลับอยู่เราก็จะอยู่ในความมืดเสมอ ซึ่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ให้ความหมายว่าผู้ที่เป็น “พุทธ” หรือมีจิตใจเป็น “โพธิ” คือผู้ที่ตื่นจากความหลับคือหลับอยู่เพราะมี “อวิชชา” คือความไม่รู้ไม่เข้าใจกฎเกณฑ์ของสภาวะธรรมหรือกฎเกณฑ์ของธรรมชาติทั้งหลายนั่นเอง จึงทำให้เราหลง (โมหะ) เห็นกงจักรเป็นดอกบัว เช่น การหลงอยู่กับอบายมุข 6 (เช่น คบคนเลวเป็นเพื่อนหรือเป็นบริวาร) หรือการหลงว่ากิเลสทั้งหลาย (โลภ โกรธ หลง) เป็นของตนเอง จึงยอมทำ “ทุจริต 3” ไปตามอำนาจสั่งการของ “กิเลส” ในที่สุดก็ต้องเสวยวิบากกรรมตามกฎแห่งกรรมซึ่งไม่มีใครหนีพ้น

ในทางโลก ถ้าเราสังเกตดูรอบๆตัวเรา เราจะเห็นว่าความทุกข์ของเพื่อนร่วมชาติของเราแต่ละกลุ่มแต่ละอาชีพจะแตกต่างกันออกไป ตัวอย่างเช่น คนจนที่มีรายได้ปีหนึ่งต่ำกว่าหนึ่งแสนบาทจะมีความทุกข์เพราะการมีหนี้สินชำระเท่าไรก็ไม่หมดมีแต่จะเพิ่มพูนโดยเฉพาะจากหนี้นอกระบบ ทั้งนี้ ก็เพราะรายได้ที่เขาหาได้ไม่เพียงพอที่จะใช้ดำรงชีวิตแม้แต่แค่มาตรฐานขั้นต่ำสุด คนเหล่านี้จึงมีแต่ความทุกข์เสมือนอยู่ในที่มืดที่รอให้รัฐช่วยพวกเขาให้ได้เห็นแสงสว่างได้บ้าง นโยบายบัตรสวัสดิการเพิ่มรายได้ให้แก่คนกลุ่มนี้ทั้งที่เป็นคนจน คนชรา คนพิการ นโยบายคนละครึ่ง เหล่านี้ยังคงต้องทำต่อไปและควรปรับการให้ความช่วยเหลือให้เหมาะสมกับสภาพเศรษฐกิจที่เป็นจริงด้วย (โดยเฉพาะด้านสาธารณสุข ควรมีแพทย์ประจำที่โรงพยาบาลตำบลอย่างน้อย 3 วันใน 1 อาทิตย์)

สำหรับกลุ่มเกษตรกรการมีนโยบายการประกันขั้นต่ำในเรื่องปุ๋ย (ใช้ปุ๋ยให้เหมาะกับดิน) หาทางลดหนี้โดยให้ใช้เงินกู้ดอกเบี้ยต่ำเพื่อชำระหนี้ดอกเบี้ยสูง การมีชลประทานขนาดเล็กผ่านทางท่อให้ทุกชุมชนเกษตรสามารถปลูกพืชผักได้ทั้งปี ใช้วิชาการเพิ่มผลผลิตต่อไร่และลดต้นทุนการผลิตต่อไร่ให้ได้ เกษตรกรของเราจึงจะสามารถออกจากความมืดสู่ความสว่างในอนาคตได้อย่างแน่นอน

#3 #ความสงบ

ประเทศจะเกิดความสงบและมีสันติภาพได้ก็ต่อเมื่อไม่มีการแตกแยกความสามัคคีกัน ไทยเป็นประเทศเล็กเมื่อมหาอำนาจของโลกที่ใจเต็มไปด้วยกิเลสต่างแย่งกันเป็นใหญ่ทุกฝ่ายจึงอยากได้ไทยเป็นหมาวิ่งตามหลัง (running dog) ให้ได้ การเคลื่อนไหวเพื่อแทรกแซงการเมืองภายในประเทศจึงเกิดขึ้นติดต่อกันมา ผ่านการให้เงินอุดหนุนกิจกรรมต่างๆ เพื่อเสี้ยมสอนให้เยาวชนชังชาติของตนเอง เสี้ยมสอนให้เป็นศัตรูกับอัตลักษณ์ของประเทศของตน บิดเบือนการสอนประวัติศาสตร์เพื่อไม่ให้สำนึกในบุญคุณของบรรพบุรุษ สอนให้ไม่เคารพจารีตประเพณีและศีลธรรม ด่าได้แม้แต่พ่อแม่ของตน ปูชนียบุคคลของชาติจึงย่อมไม่มีทางหนีพ้นจากการถูกใส่ร้ายป้ายสีและด้อยค่าด้วยวิธีการที่หลากหลายอย่างที่เห็นๆกันอยู่

คนที่ไม่เห็นด้วยกับพฤติการณ์เช่นนี้ได้แต่นั่งดูด้วยความอดทน สักวันหนึ่งเมื่อหมดความอดทนสงครามกลางเมืองก็อาจจะเกิดขึ้นได้ ชาติของเราจะย่อยยับด้วยความพอใจของต่างชาติที่วางยุทธศาสตร์เอาไว้และทำได้สำเร็จ ระบบการเรียนการสอนเพื่อให้เกิดการบ่มเพาะให้เยาวชนมีความภูมิใจในประวัติศาสตร์ของชาติ มีความภูมิใจในจารีตประเพณีของชาติ มีความภูมิใจในศิลปวัฒนธรรมของชาติ ซาบซึ้งและรู้คุณค่าของคำว่า “ศีลธรรม” ตามหลักศาสนาที่ตนสังกัด

เหล่านี้ต้องทำให้เกิดขึ้นให้ได้ ต้องอบรมสั่งสอนกันอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่แบบง่ายๆ ในชั้นประถมศึกษาจนถึงแบบพิศดารในระดับมัธยมปลายและอาจต้องบังคับให้เป็นวิชาเลือกในขั้นอุดมศึกษา คุณภาพครูอาจารย์จึงเป็นเรื่องสำคัญเช่นกัน (ผมไม่ได้คิดเองหรอกครับ เพราะในสหรัฐอเมริกาและประเทศออสเตรเลียเขาก็ทำอย่างนี้กันมานานแล้วครับ

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ข่าวล่าสุด

“ภูมิธรรม”คาด 4 ลูกเรือไทยได้รับการปล่อยตัว 4 ม.ค. นี้ ยืนยันกลาโหม-กองทัพไม่ได้อ่อนแอ
ฮาร์บินเปิด ‘สวนสนุกน้ำแข็ง-หิมะ’ จีนใหญ่สุดในโลก
ทรัมป์เสนอยูเครนสละดินแดนเพื่อยุติสงคราม
โฆษกกห. ยัน ไม่ได้ปิดด่านชายแดนจังหวัดตาก แค่สกัดโรค อุดช่องทางธรรมชาติ
“พิพัฒน์” ลุยปฏิรูป “ก.แรงงาน” ก้าวใหม่สู่ยุค AI สร้างทักษะพัฒนาฝีมือ ดูแลสวัสดิการทุกมิติ
"สรรเพชญ" พร้อมกลุ่มสส.ร่วม "ชวน-บัญญัติ" ส่งหนังสือเร่งรัฐ เยียวยาน้ำท่วมทำใต้วิปโยค
“ทักษิณ” อวย ฉายา “แพทองโพย” เก่งกว่าพ่อนั่งนายกฯ ฟุ้งคนเหนือก็เป็นพ่อเลี้ยงกันหมด
“อนุทิน” น้อมรับฉายา “ภูมิใจขวาง” ลั่นไม่ได้คิดขวางใคร ชื่นชม “นายกฯ” ตั้งใจทำงาน หลังถูกมองเป็นรบ. (พ่อ) เลี้ยง
“รทสช.” เคลื่อนไหว หลังสื่อทำเนียบฯตั้งฉายา “พีระพันธุ์” Fc แห่คอมเมนต์ให้กำลังใจ
ชวนเที่ยวงาน "เที่ยวถิ่น กินอร่อย สมุทรปราการ" ปี 67 จัดใหญ่จัดเต็มส่งท้ายความสุขช่วงปลายปี

ดู LIVE รายการ

X

เราใช้ คุ้กกี้ เพื่อให้ทุกคนได้ประสบการณ์การใช้งานที่ดียิ่งขึ้น