นายปกรณ์ นิลประพันธ์ เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกาและอดีตกรรมการคณะกรรมการอิสระเพื่อการปฏิรูปการศึกษา(กอปศ.) เปิดเผยว่าแนวทางการสลายปัญหาเด็กและเยาวชนหลุดนอกระบบการศึกษา หลักการสำคัญ คือ ต้องร่วมสร้าง “ระบบนิเวศการเรียนรู้ตลอดชีวิต” หรือ Lifelong Learning Ecosystem ส่งเสริมสนับสนุนให้เด็กและเยาวชนได้รับการศึกษาแบบ “ไร้รอยต่อ” สู่การเรียนรู้ตลอดชีวิต ด้วยการ “พัฒนาคน” ให้มีทักษะที่หลากหลาย หรือ Multi-skill เพื่อฝ่าข้ามเศรษฐกิจเปราะบางและก้าวทันการจ้างงานในอนาคต เนื่องจากเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) และหุ่นยนต์อาจเข้ามาทดแทนแรงงานคน , สถานการณ์ โควิด-19 ยังคงยืดเยื้อ และ โรงงานอุตสาหกรรมเริ่มจ้างแรงงานต่างชาติเข้ามาทดแทนแรงงานไทยเนื่องจากอัตราค่าจ้างต่ำกว่า
ตัวอย่างเช่น “เยาวชนแรงงาน” ในเขตพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมกบินทร์บุรี อำเภอกบินทร์บุรี จังหวัดปราจีนบุรี ต้องส่งเสริมการสร้าง “เครือข่ายวิสาหกิจเพื่อสังคม” หรือ Social Enterprise ให้เข้ามาร่วมสร้างระบบนิเวศการเรียนรู้ตลอดชีวิต โดยมีเป้าหมายสำคัญ 3 เรื่อง ดังนี้ 1.ส่งเสริมความรู้ทางธุรกิจ Service Mind ถือเป็นหัวใจสำคัญของการบริการ และ Service provider ที่ผู้ให้บริการ (เยาวชนแรงงาน) ต้องรู้จักดูแลเอาใจใส่ลูกค้า ตัวอย่างเช่น การให้บริการติดตั้งเครื่องปรับอากาศ น้อง ๆ จะได้รับค่าจ่ายเพียงครั้งเดียวแต่ถ้าน้อง ๆ รู้จัก “ทำบัญชีลูกค้า” ว่า แอร์แต่ละเครื่องที่ติดตั้งให้ลูกค้าแต่ละคนถึงรอบการรับบริการล้างแอร์เมื่อไร จากนั้นสื่อสารไปสอบถามลูกค้าว่ายินดีรับบริการล้างแอร์หรือไม่ หรือ จัดโปรโมชั่น เช่น ล้างแอร์ครั้งแรก คิดราคา 500 บาท ครั้งที่ 2 คิดราคา 400 บาท และถ้าเป็นลูกค้าประจำอาจลดราคาถูกลงกว่านี้ก็ได้ หรือ หากมีความร่วมมือร่วมกันระหว่างสหภาพแรงงาน กับโรงงาน ด้วยการการขอซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้า เช่น เครื่องปรับอากาศ หรือ ปั้มน้ำ ในราคาหน้าโรงงานจาก “ไฮเออร์” หรือ “ฮิตาชิ” ที่เยาวชนแรงงานทำงานอยู่มารับจ้างติดตั้งประกอบแอร์บ้าน หรือ ติดตั้งปั๊มน้ำ ถือเป็นการส่งเสริมกิจกรรมเพื่อสังคม หรือ Corporate Social Responsibility (CSR)อีกด้วย
2.ส่งเสริมแพลตฟอร์มการบริการชุมชน โดยมีฐานข้อมูลเยาวชนแรงงานแต่ละคนมีความถนัดทักษะอาชีพที่แตกต่างและหลากหลายโดยนำข้อมูลเหล่านั้นมาแบ่งปันร่วมกัน ทั้งในชุมชนหรือระหว่างชุมชน อาทิ ข้อมูล “ช่างชุมชน” เช่น ช่างแอร์ ช่างประปา ช่างไฟฟ้า หรือ “นักธุรกิจชุมชน” เช่น อาหารเครื่องดื่มเบเกอรี่ เป็นต้น เพื่อให้เกิดการแลกเปลี่ยนและกิจกรรมทางเศรษฐกิจ และ 3.พัฒนาทักษะอาชีพ Upskill และ Reskill เนื่องจากในเขตนิคมอุตสาหกรรมกบินทร์บุรี เป็นแหล่งที่ตั้งโรงงานอุตสาหกรรมที่มีสินค้าที่หลากหลาย เช่น ไฮเออร์ และ ฮิตาชิ ผู้ผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้าและสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ เช่น เครื่องปรับอากาศ , ปั้มน้ำ , เครื่องซักผ้า , ตู้เย็น เป็นต้น จึงควรส่งเสริมให้เยาวชนแรงงานได้รับการพัฒนาทักษะอาชีพเสริมระหว่างทำงานประจำในโรงงาน เป็น “ช่างชุมชน” เช่น ช่างแอร์ ช่างประปา หรือ ช่างไฟฟ้า เป็นต้น
ทั้งนี้ที่ผ่านมาการทำงานของกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) โดย ดร.ไกรยส ภัทราวาท เป็นที่น่าพอใจ และ ควรขยายผลความสำเร็จโครงการ “ครูรักษ์ถิ่น” อย่างต่อเนื่อง และ ควรส่งเสริม “ครูช้างเผือก” ที่มีคุณสมบัติเป็นครูในระบบโรงเรียนที่มีจิตวิญญาณความเป็นครู มีความรอบรู้และเข้าใจความงดงามในตัวเด็กว่าแต่ละคนมีความเก่งและทักษะความถนัดแตกต่างกัน โดยที่ครูคนนั้นสามารถส่งเสริมและพัฒนาเด็กไปในทิศทางที่เหมาะสมได้ และ เป็นครูที่มีความกล้าคิดนอกกรอบสามารถเชื่อมโยงพื้นที่แหล่งการเรียนและการศึกษา ทั้งในและนอกโรงเรียนได้อย่างมีความคิดสร้างสรรค์ ตัวอย่างเช่น วิชาดาราศาสตร์ ถ้าคิดแบบเดิมครูผู้สอนจะเรียกร้องของบประมาณจัดซื้อกล้องดูดาวก่อนถึงจะสอนวิชาดังกล่าวได้ แต่หากกล้าคิดนอกกรอบ เช่น จัดทัศนศึกษาพานักเรียนไปหอดูดาว หรือ พิพิธภัณฑ์ เป็นต้น
อย่างไรก็ตามการ “สร้างครู” ทาง กสศ. ย่อมมีข้อจำกัดด้านงบประมาณ ซึ่งเป็นโจทย์ใหญ่ของ บอร์ด กสศ. ในการหาทางออก เช่น อาจไปขอความร่วมมือกับกระทรวงศึกษาธิการ เพราะการ “สร้างครู” นับเป็นวิธีการหนึ่งในการสร้างความเสมอภาคทางการศึกษา นอกเหนือจากการช่วยเหลือเด็กและเยาวชนผ่านทุนสร้างโอกาสต่าง ๆ ที่ทาง กสศ.ดำเนินการอยู่ในขณะนี้ ทาง กสศ. จึงควรสนับสนุนครูที่ดีมีจิตใจรักความเป็นครูที่ยังมีอยู่เป็นจำนวนมาก แต่ด้วยระบบดั้งเดิมและอุปสรรคบางอย่างทำให้ครูที่ดีถูกดึงออกนอกห้องเรียนมากกว่าอยู่ในห้องเรียน จนไม่สามารถแสดงศักยภาพความเป็นครูได้อย่างเต็มที่