ตามต่อเนื่องกับประเด็นใหญ่ เรื่องขั้นตอนการชำระหนี้ตามคำพิพากษาศาลปกครอง ระหว่าง บริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BTSC กับกรุงเทพมหานคร(กทม.) และ บริษัท กรุงเทพธนาคม จำกัด หรือ “เคที”
ขณะที่ นายสุรพงษ์ เลาหะอัญญา กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BTSC ได้ให้สัมภาษณ์ทีมข่าว TOPNEWS ถึงปัญหารถไฟฟ้าสายสีเขียว ว่า ภาระหนี้โครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว ส่วนต่อขยาย ขณะนี้มีตัวเลขกว่า 40,000 ล้านบาท แบ่งเป็น 2 ส่วน คือ ในส่วนของสัญญาจ้างเดินรถที่มีด้วยกัน 2 สัญญา คือ ส่วนต่อขยายที่ 1 และส่วนต่อขยายที่ 2 รวมเป็นเงินกว่า 2 หมื่นล้านบาท และ ในส่วนของค่าติดตั้งงานระบบไฟฟ้าและเครื่องกลอีก 20,000 ล้านบาท
โดยในส่วนของสัญญาจ้างเดินรถนั้น ทาง BTSC ได้มีการยื่นฟ้องศาลปกครองกลางไปเมื่อประมาณปี 2564 และศาลปกครองกลางได้มีการตัดสินให้กรุงเทพมหานครและกรุงเทพธนาคม ร่วมกันชำระหนี้ก้อนดังกล่าว ภายในเวลา 180 วัน หลังจากมีคำพิพากษาถึงที่สุด ซึ่งภาระหนี้ก้อนแรกอยู่ที่ประมาณ 2 หมื่นล้านบาท โดยไม่นับรวมในส่วนของอัตราดอกเบี้ย ที่ยังคงเคลื่อนไหวเพิ่มเติมทุกวัน
และไม่นานมานี้ ยังมีการฟ้องเพิ่มเติม ในส่วนของค่าจ้างเดินรถ และ ค่าติดตั้งระบบไฟฟ้า และเครื่องกล วงเงินกว่า 11,000 ล้านบาท โดยเป็นการยื่นฟ้องเพิ่ม ตามหน้าที่ของบริษัท เพราะเมื่อมียอดหนี้เพิ่มขึ้นมา ในช่วงเดือนมิ.ย. 2564 – ต.ค. 2565 บริษัทมีหน้าที่ต่อผู้ถือหุ้น ในการติดตามทวงถามหนี้ค้างจ่าย และเมื่อทวงถามไม่ได้ จึงจำเป็นที่จะต้องยื่นฟ้องต่อศาลปกครองกลาง
ส่วนความคืบหน้าการทวงถามมูลหนี้กว่า 20,000 ล้านบาท ตามคำพิพากษาศาลปกครอง นายสุรพงษ์ ระบุว่า สำหรับหนี้ก้อนแรกที่ศาลปกครองมีคำพิพากษาให้กทม.และบริษัทกรุงเทพธนาคม ดำเนินการชำระให้กับ BTSC ขณะนี้อยู่ระหว่างการเตรียมเอกสารเอกสารทั้งหมด ซึ่งมีอยู่จำนวนมาก และที่ผ่านมาได้มีการทวงถามทางด้านบริษัท กรุงเทพธนาคม จำกัด หรือ KT ไปแล้ว แต่ยังไม่ได้รับคำตอบใดๆ ซึ่งสุดท้าทางบริษัทอาจจะต้องแยกประเด็นยื่นฟ้องศาลเพื่อบังคับให้ชำระหนี้หรือไม่ ยังไม่แน่ใจ เพราะอยู่ในส่วนของขั้นตอนการพิจารณาและเตรียมเอกสารทั้งหมด
อย่างไรก็ตามมีจุดน่าสังเกตุว่า ทางกรุงเทพธนาคม หรือ เคที ได้แสดงจุดยืนคัดค้าน ปัญหาภาระหนี้สินที่ต้องชำระตามคำพิพากษามาโดยตลอด ทั้งที่้ BTSC เป็นฝ่ายรับภาวะต้นทุนการดำเนินโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว ส่วนต่อขยาย ไว้ทั้งหมด ตั้งแต่เงินทุนดำเนินการ ซ่อมบำรุง รวมอัตราดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้น มูลค่ารวม 4 หมื่นล้านบาท มานานถึง 4 ปี อาทิ