วันที่ 19 ม.ค.66 ที่บ้านพักเตาปูนไ ด้มีกลุ่มตัวแทนชาวนาจาก จ.พิจิตร จำนวน 470 ครอบครัว พร้อมด้วยนายมุนินทร์ จันทรา เจ้าของโรงสี ได้ยื่นหนังสือร้องเรียนแฉหน่วยงานองค์การคลังสินค้า จ.พิจิตร (อคส.) ในโครงการรับจำนำข้าวเปลือกปีการผลิตพ.ศ.2548/2549 ตั้งแต่ต้นเดือนพ.ย.2548 แต่ยังไม่ได้รับเงินค่าจำนำข้าวเปลือกหอมมะลิ จำนวน 8,424.16 ตัน มูลค่า 58,847,401 บาท (ในสมัยรัฐบาลทักษิณ) ให้กับนายชัชวาลล์ คงอุดม ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี เพื่อให้ช่วยเร่งรัดติดตามเงินในโครงการดังกล่าวให้กับชาวนากลุ่มดังกล่าว
นายมุนินทร์ กล่าวว่า ทั้งหมดทั้งมวลนี้ทาง อคส.ไม่ออกใบประทวนสินค้าตามหน้าที่องค์การคลังสินค้าให้กับชาวนา ถือเป็นการผิดสัญญากับทางกลุ่มเกษตรกรชาวนา จนถึงเวลานี้รวม 17 ปีแล้ว ตนมีความตั้งใจยื่นหนังสือถึงท่านนายกรัฐมนตรี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ซึ่งเป็นประธานคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติหรือรัฐบาลผู้บริหารสูงสุดของโครงการรับจำนำข้าวเปลือกของรัฐบาล เพื่อให้ช่วยติดตามการชำระเงินค่าจำนำข้าวเปลือกหอมมะลิจำนวน 8424.16 ตัน มูลค่า 48,847,401.24 บาท พร้อมดอกเบี้ย 15 เปอร์เซ็นต์ต่อปีคูณ 17 ปี แต่เรื่องไม่ถึงนายกฯตามที่ตนร้อง แต่กลับส่งเรื่องกลับไปให้อคส.อีก จึงไม่ถูกต้องเพราะตนร้องนายกฯเพราะอคส.ไม่ออกใบประทวนให้ชาวนาแต่กลับส่งเรื่องไปให้ อคส.อีก ตามรายละเอียดที่ปรากฏตามหนังสือรับเรื่องราวร้องทุกข์ นร.01650004201 ลงวันที่ 9 พฤศจิกายน 2565 สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี โดยขอให้นายกรัฐมนตรี หรือรัฐบาล ช่วยติดตามให้ชำระค่าจำนำข้าวเปลือกให้ชาวนา 470 รายที่ไม่ได้รับค่าจำนำข้าวเปลือกจากรัฐบาลโดยใบประทวนสินค้าไปทำสัญญาจำนำและแรกรับเงินจากรัฐบาลที่ธนาคารธ.ก.ส.พื้นที่ จ.พิจิตร ตั้งแต่ปีโครงการฯผลิต 2548/49 ตามหน้าที่ (อคส.) ถือว่าเป็นเรื่องผิดสัญญาต่อเกษตรกรชาวนาดังกล่าว ผ่านมาถึง 17 ปีเศษแล้วและเป็นเรื่องที่รัฐบาลจะต้องชำระดอกเบี้ยคูณ 17 ปีเศษให้เกษตรกรตามกฎหมายและตามหน้าที่ของรัฐบาลด้วย
ส่วนข้อพิพาทระหว่างฝ่ายโรงสีก้องเกียรติกับองค์การคลังสินค้า (อคส.)เป็นเรื่องที่ทั้งสองฝ่ายต้องไปฟ้องร้องกันเอง และศาลจังหวัดพิจิตร และศาลอุทธรภาค 6 ก็พิพากษาว่าฝ่ายโรงสีก้องเกียรติฯไม่ได้ฉ้อโกงชาวนา และไม่มีหน้าที่ชำระค่าจำนำข้าวให้ชาวนา แต่เป็นหน้าที่ของ อคส.ที่ต้องออกใบประทวนข้าวเปลือกให้ชาวนาดังกล่าวไปรับเงินค่าจำนำข้าวที่ธนาคารธ.ก.ส.เพราะเกิดเป็นสัญญากับชาวนาจำนำข้าวกับโครงการฯรัฐแล้วนั่นเอง กรณีค่าจำนำข้าว ปี 2548/49 กว่า 8.000 ตัน มูลค่ากว่า 58 ล้านบาท
ต่อมาวันที่ 10 พ.ย. 65 ตนได้รับแจ้งจากเจ้าหน้าที่ของศูนย์รับเรื่องราวผู้ร้องทุกข์ของรัฐบาล สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ว่า ได้ส่งหนังสือเรื่องราวร้องทุกข์ดังกล่าวไปที่องค์การคลังสินค้า (อคส.) แต่ไม่ส่งถึงนายกรัฐมนตรี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ตามเจตนาที่ตนได้ร้องทุกข์ไว้ จึงเห็นว่าเป็นการไม่ถูกต้อง และไม่ถูกต้องเป็นอย่างยิ่ง ในเมื่อองค์การคลังสินค้าไม่ออกใบประทวนสินค้าข้าวเปลือกหอมมะลิ ให้เกษตรกร 470 รายนำไปทำสัญญาจำนำและแลกรับเงินจำนวนดังกล่าวจากรัฐบาลที่ธนาคาร ธ.ก.ส. ในเขตพื้นที่จังหวัดพิจิตรตามหน้าที่องค์การคลังสินค้า หรือฝ่ายรัฐบาล ตนเองจึงได้นำหลักฐานเรื่องราวมาร้องทุกข์ต่อนายชัชวาลล์ คงอุดม ในฐานะที่เป็นที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี ให้เร่งติดตามหรือสอบถามไปยังพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯซึ่งเป็นประธานคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติหรือรัฐบาลผู้บริหารสูงสุดของการรับจำนำข้าวเปลือกของรัฐบาล ให้ชำระค่าจำนำข้าวให้กับเกษตรกร 470 ครอบครัวตามความละเอียดตามหน้าที่ของรัฐบาลอีกครั้งโดยด่วนต่อไป
ด้าน นายชัชวาลล์ คงอุดม กล่าวว่า ได้รับเรื่องร้องเรียนจากเกษตรกรชาวนาตั้งแต่กลางปี 2563 ว่าไม่ได้รับเงินจำนำข้าว จนปัจจุบันนี้กว่า 10 ปีแล้ว ซึ่งทางรัฐบาลมีงบประมาณ โดยชาวนาไม่ได้รับความเป็นธรรมจึงได้ให้ความช่วยเหลือ การดำเนินการตอนนี้ตัวแทนเกษตรกรได้ทำหนังสือร้องเรียนไปที่ศูนย์รับเรื่องราวผู้ร้องทุกข์ของรัฐบาล ครั้งนี้เป็นครั้งที่ 2 โดยครั้งแรกทางศูนย์รับเรื่องราวผู้ร้องทุกข์ของรัฐบาล ได้ส่งเรื่องไปที่องค์การคลังสินค้า (อคส.) ในเมื่อหน่วยงานนี้ไม่ออกใบประทวนให้ส่งเรื่องไปทุกอย่างก็เงียบเหมือนเดิม ครั้งนี้ตนจะดำเนินการนำเรื่องนี้เรียนท่านนายกรัฐมนตรี เพื่อให้เร่งช่วยเหลือเกษตรกร กว่า 470 ครอบครัว เพราะเขาได้รับความเดือดร้อนมาหลายปีแล้ว ชาวนาส่งผลผลิตเข้าโครงการจำนำข้าวของรัฐบาลแต่ไม่ได้เงิน เราต้องรีบให้ความช่วยเหลือเขาจนถึงที่สุด นาย ชัชวาลล์ กล่าวในตอนท้าย
สมชาย จรรยา ผู้สื่อข่าว