จับโกหกสุดโป๊ะ “สนธิ” ย้อนชัด 53 ล้าน “นอท กองสลากพลัส” โยงแน่น “อ.ฟอกเงิน”

จับโกหกสุดโป๊ะ "สนธิ" ย้อนชัด 53 ล้าน "นอท กองสลากพลัส" โยงแน่น "อ.ฟอกเงิน"

เดินหน้าต่อเนื่องกับการขุดคุ้ยเบื้องลึกเบื้องหลัง การดำเนินธุรกิจค้าสลากกินแบ่งฯผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ของ นายพันธ์ธวัช นาควิสุทธิ์ หรือ “นอท กองสลากพลัส” โดยหลังจากก่อนหน้านี้ได้ตั้งข้อสงสัยเรื่องแหล่งที่มาเงินทุนหลายพันล้านบาท ในการนำมาใช้จ่ายหมุนเวียนจัดซื้อสลากฯ เพื่อนำมาจำหน่ายผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ มูลค่าต่องวดกว่า 1,300-1,400 ล้านบาท ว่า ถ้าวิธีการบริหารการเงินในการไล่ซื้อสลากในแต่ละงวดหมุนเงินประมาณ 2 รอบ ต้องมีเงินอย่างน้อย 600-700 ล้านบาท ในการซื้อสลากมา แล้วเอาเงินสดที่ได้จากการขายให้ลูกค้ามาซื้อสลากอีกรอบหนึ่ง คำถามคือเงิน 600-700 ล้านบาทมาจากไหน

เพราะ “นอท พันธ์ธวัช” อ้างว่าเงินลงทุนมาจากการกู้ยืมคนอื่นมาทั้งหมด ไม่มีเงินตัวเองเลย และเงิน 600-700 ล้านบาทต่องวด ไม่ได้กู้มาจากระบบธนาคาร หรือ ระบบการเงินปกติ แต่เป็นการกู้ยืมแบบทำสัญญาเงินกู้กับ บุคคล หรือ นิติบุคคลที่ที่ไว้ใจในตัว “นอท พันธ์ธวัช” และต้องไว้ใจอย่างมากด้วย เพราะเงินจำนวนหลายร้อยล้านบาทนั้นถือว่ามีมูลค่ามหาศาล

ไม่เท่านั้น นายสนธิ ยังตั้งข้อสังเกตุไปถึงเรื่องเอกสารสัญญาร่วมลงทุนและค้ำประกัน ระหว่าง “บริษัท ไททัน แคปปิตอล กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด” กับ “บริษัท ลอตเตอรี่ ออนไลน์ จำกัด” โดยเน้นย้ำว่า บริษัท ไททัน แคปปิตอล กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด เป็นของ นายแทนไท ณรงค์กูล เด็กหนุ่มวัย 26 ปี และ ใน ปี 2563 เคยถูกจับข้อหาเปิดเว็บพนันฟุตบอลที่มีเงินหมุนเวียนเป็นหมื่นล้านบาท แต่กลับหลุดคดีอย่างปาฏิหาริย์ และทุกวันนี้ยังร่ำรวยมีเงินเป็นพันล้านบาท จนสามารถนำเงินไปหว่านประมูลซื้อทะเบียนรถเลขสวยได้ในราคากว่า 45 ล้านบาท

ทั้งยังเป็นเจ้าของตัวจริงของ บริษัทไททันฯ ซึ่งในระยะเวลาไม่ถึงปี คือในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ – กันยายน 2565 หรือ เพียง 7-8 เดือน สามารถเพิ่มทุน บริษัท ไททัน แคปปิตอล กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด จาก 5 ล้านเป็น 900 ล้านบาทมาได้แบบน่าอัศจรรย์

 

ข่าวที่น่าสนใจ

ล่าสุด นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ ได้แสดงความเห็นผ่านรายการ คุยทุกเรื่องกับสนธิ เกี่ยวกับเส้นทางการทำธุรกิจของ “นอท กองสลากพลัส” เพิ่มเติม โดยชี้ให้เห็นประเด็นเชื่อมโยงกับข้อสังเกตุเรื่องเงินทุนผิดกฎหมาย ใจความสำคัญตอนหนึ่ง ระบุว่า ครั้งหนึ่ง “นอท กองสลากพลัส” แถลงภายหลังเข้าชี้แจงต่อกรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ) เมื่อวันที่ 13 ม.ค.ที่ผ่านมา อ้างว่ากรณีมีผู้ต้องหาในคดีฟอกเงินชื่อย่อ อ.ได้โอนเงินเข้าบัญชีตนเอง 2 ครั้งจำนวน 42 และ 11 ล้านบาท รวม 53 ล้านบาทนั้น เป็นเพราะตนเองได้เอาลอตเตอรี่ 11,600 พร้อมใบมอบอำนาจให้นาย อ.ไปขึ้นเงิน แล้วจึงโอนกลับมาเข้าบัญชีตนเอง จึงไม่ใช่การฟอกเงิน ส่วนสาเหตุที่ให้นาย อ.นำล็อตเตอรี่ไปขึ้นเงิน เพราะนาย อ.ต้องการจะร่วมลงทุน และต้องการพิสูจน์อะไรบางอย่าง แต่สุดท้ายตกลงกันไม่ได้ จึงแยกย้ายกันไปและไม่เจอกันอีก

กรณีดังกล่าวมีข้อสังเกตว่า เหตุใดนายพันธ์ธวัช หรือ นอท จึงไว้ใจนาย อ.มอบสลาก 11,600 ใบ มูลค่า 53 ล้านบาท ไปขึ้นเงินทั้งที่นายพันธ์ธวัชก็บอกว่าเพิ่งเคยเจอกันครั้งแรก ประเด็นนี้นายพันธ์ธวัชอ้างว่า เพราะมีเลขาฯ ไปด้วยและตนไปยืนเฝ้าทุกขั้นตอน จึงมั่นใจว่าปลอดภัย ขณะที่การตรวจพบเส้นทางเงินโอนเข้าบัญชีนายพันธ์ธวัชอีก 39 รายการ จำนวนเงิน 1,091 ล้านบาท กรณีนี้ดีเอสไอขอให้นายพันธ์ธวัช ชี้แจงเป็นลายลักษณ์อักษรภายใน 14 วัน

“ส่วนตัวเชื่อว่า การที่นาย อ.นำสลากจากนายพันธ์ธวัชไปขึ้นเงินรวม 53 ล้านบาทนั้น น่าจะเป็นการฟอกเงิน “ขาออก” คือการนำเงินที่ผิดกฎหมายมาซื้อสลากที่ถูกรางวัลแล้วนำไปขึ้นเงิน เพื่อให้ที่ได้กลายเป็นเงินถูกกฎหมาย โดยธุรกิจของ “กองสลากพลัส” นั้น ส่อเป็นการฟอกเงินทั้งขาเข้าและขาออก โดยขาเข้าก็คือรับเงินกู้จากเงินสีเทาเพื่อนำไปซื้อสลากโดยให้ดอกเบี้ยและทำสัญญาถูกต้อง เมื่อครบสัญญาก็คืนเงินให้กลายเป็นเงินที่มีแหล่งที่มาที่ไป”

เพราะมีข้อสังเกตุว่า ทำไมไม่มีผู้ที่ซื้อจากกองสลากพลัสแล้วถูกรางวัลไปขึ้นเงินด้วยตัวเอง คำตอบคือ เพราะมีการทำการตลาดแบบฉลาดแกมโกง จ่ายเงินรางวัลให้ผู้ถูกเต็มจำนวน ไม่หักค่าธรรมเนียม โดยใช้การประชาสัมพันธ์ว่า ซื้อง่าย โอนไว จ่ายเต็ม ใครที่ซื้อจะมีบริการจัดเก็บลอตเตอรี่ไว้ให้ เมื่อผลสลากออกมาก็จะตรวจให้ด้วย ใครถูกรางวัลที่ 1 ก็จะเอาเงินสดไปให้ด้วยตัวเอง โดยไม่หักอะไรทั้งสิ้น ส่วนรางวัลอื่นๆ ก็โอนให้ภายในไม่กี่ชั่วโมงด้วยยอดเต็มจำนวน ไม่เหมือนการขึ้นเงินกับสำนักงานสลากกินแบ่งหรือธนาคารกรุงไทยที่จะมีการหักค่าธรรมเนียม

วิธีการเช่นนี้ ทำให้ผู้ซื้อที่ไม่อยากเสียเวลารอให้กองสลากพลัสส่งลอตเตอรี่มาให้เพื่อไปขึ้นเงินเองและเสียค่าธรรมเนียมยอมให้กองสลากพลัสไปขึ้นเงินแทน ลอตเตอรี่ที่ถูกรางวัลจึงอยู่ในมือของนายพันธ์ธวัชจำนวนมาก โดยแต่ละงวดมีสลากที่ถูกรางวัลกับกองสลากพลัสประมาณ 2 แสนใบ และกองสลากพลัสได้จ่ายเงินให้ผู้ถูกรางวัลล่วงหน้าไปก่อนแบบเต็มจำนวน ขณะที่เงินรางวัลสลากกินแบ่งนั้นคนที่ไปขึ้นเงินไม่ต้องเสียภาษีเงินได้

ประเด็นต่อมา การที่ นายพันธ์ธวัช หรือ นอท สามารถรวบรวมล็อตเตอรี่ที่ถูกรางวัลได้เป็นจำนวนมาก ยังสามารถเป็นช่องทางส่งต่อให้ทุนสีเทา ไปขึ้นเงินต่อได้ คนที่ทำธุรกิจสีเทาพวกนี้เดิมทีต้องตามหาคนที่ถูกรางวัล แต่ขณะนี้เหมือนมีกองสลากพลัสเป็นที่รวบรวมไว้ให้ ไม่ต้องไปตามหาเหมือนเมื่อก่อน ดังนั้น หากจะให้บริการแก่กลุ่มทุนที่ทำผิดกฎหมายนำไปฟอกเงินก็สามารถให้บริการได้ทันที เช่น กรณีดีเอสไอจับกุมเครือข่ายนาย อ.ที่กลายเป็นคดี

 

ส่วนกรณีนายพันธ์ธวัช อ้างว่า ตนเองเป็นคนนำสลากไปขึ้นเงินทุกใบ โดยการให้สัมภาษณ์ในรายการเจาะลึกทั่วไทย ช่อง 9 อสมท เมื่อวันที่ 5 ม.ค.2566 จึงเท่ากับเป็นการโกหก เพราะก่อนหน้านั้นในช่วงเดือน ส.ค. 2564 ที่เป็นคดีขึ้นมา มีข้อเท็จจริงปรากฎเป็นฝ่ายนายพันธ์ธวัชให้นาย อ.นำสลากไปขึ้นเงินจำนวนกว่า 1 หมื่นฉบับ เป็นเงิน 53 ล้านบาท

ทั้งยังมีการแสดงเอกสารต่อสื่อมวลชนเมื่อวันที่ 13 ม.ค.2566 เป็นเอกสารการบันทึกข้อตกลงมอบอำนาจให้นาย อ.ไปขึ้นเงิน รวมทั้งหลักฐานการโอนเงินให้นายนายพันธ์ธวัช ซึ่งมีข้อสังเกต ว่า 1.เป็นเอกสารทำย้อนหลังหรือไม่ ซึ่งพิสูจน์ได้ยาก เพราะใครๆ ก็ทำย้อนหลังได้ เพื่อเคลียร์ตัวเอง แต่ถ้าเอกสารจริงก็แสดงว่าทั้งสองคนต้องไว้ใจกันมากจึงมอบอำนาจให้ ซึ่งย้อนแย้งกับคำพูดของนายพันธ์ธวัชที่บอกว่าไม่รู้จักกันมาก่อน

2.คำกล่าวที่ถือเป็นจุดตายของนายพันธ์ธวัช ก็คือคำพูดที่ว่านาย อ.อยากมาเป็นนายทุนผู้ให้กู้ จึงอยากรู้ขั้นตอนการขึ้นเงิน แต่ทำไมจึงพานาย อ.ไปขึ้นทะเบียนเป็นผู้ขึ้นเงินด้วย ไม่เพียงเท่านั้นยังเอาสลากที่ถุกรางวัลให้นาย อ.ไปขึ้นเงินเองอีกด้วย และนี่น่าจะเป็นวิธีการฟอกเงินปลายทาง คือซื้อสลากที่ถูกรางวัลจากกองสลากพลัสเพื่อเอาไปขึ้นเงิน เพื่ออ้างว่าเป็นเงินที่ถูกกฎหมาย ซึ่งเป็นวิธีการฟอกเงินที่ใช้กันมานาน โดยเมื่อก่อนคนที่ต้องการฟอกเงินต้องตามสืบเสาะหา แต่ด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่กองสลากพลัสกลายเป็นแหล่งรวบรวมสลากที่ถูกรางววัลไว้จำนวนมาก ส่วนคนที่ถูกรางวัลก็ไม่รู้ เพราะได้เงินไปแล้ว

“ที่เป็นพุิรุธเพิ่มเติมคือถ้าจะสาธิตการขึ้นเงินจริงๆ ทำไมต้องทำซ้ำถึง 2 ครั้ง วันที่ 4 ส.ค.64 จำนวน 42 ล้าน วันที่ 5 ส.ค.64 อีก 11 ล้าน อยากรู้ขั้นตอน ทำวันเดียวก้ได้แล้ว เพราะฉะนั้นข้ออ้างนี้ ฟังไม่ขึ้น และเชื่อว่าดีเอสไอน่าจะมีข้อสรุปในใจว่าฟังไม่ขึ้น”

 

ส่วนพฤติกรรมของนายพันธ์ธวัชที่จะเข้าข่ายฟอกเงินหรือไม่ นายสนธิ ตั้งข้อสังเกตุเพื่อนำไปสู่การตรวจสอบ ดังนี้ 1.การรวบรวมสลากที่ถูกรางวัลไว้กับตัวเองได้สำเร็จด้วยแรงจูงใจจ่ายเต็มให้คนถูกรางวัล 2.นายพันธ์ธวัชอยากได้เงินกู้จากนาย อ.เลยพาไปดูระบบการขึ้นเงิน แต่แทนที่จะให้ดูขั้นตอนการขึ้นเงินของนายพันธ์ธวัช โดยนายพันธ์ธวัชเป็นคนไปขึ้นเงินแล้วให้นาย อ.ยืนดูก็ได้ แต่กลับพานาย อ.ไปขึ้นทะเบียนเป็นคนขึ้นเงิน 3.การมอบสลากถึง 1 หมื่นกว่าฉบับให้นาย อ.ไปขึ้นเงินแทน โดยอ้างว่าได้ทำบันทึกข้อตกลงกันไว้ 53 ล้านบาท เป็นข้อตกลงหลังบ้านไม่เกี่ยวกับกองสลาก 4.เมื่อนาย อ.นำสลากไปขึ้นเงิน 53 ล้านบาท นาย อ.ก็เป็นผู้ได้รับเงิน 53 ล้านบาทจากสำนักงานสลากกินแบ่งฯ กลายเป็นเงินสะอาดที่มีที่มาที่ไป 5.นาย อ.ส่งเงินให้นายนายพันธ์ธวัชภายหลังโดยแคชเชยร์เช็คเข้าบัญชีธนาคารกสิกรไทย 6.เมื่อเสร็จกระบวนการแล้วนายพันธ์ธวัชอ้างว่าการเจรจาร่วมลงทุนกับนาย อ.ตกลงกันไม่ได้จึงแยกทางกัน

นายสนธิกล่าวต่อว่า เมื่อพิจารณาจาก พ.ร.บ.ปราบปรามการฟอกเงินฯ มาตรา 5 แล้วพฤติกรรมของนายพันธ์ธวัชน่าจะเข้าข่ายการฟอกเงิน ยิ่งเมื่อเทียบกับที่มาของนาย อ.ที่ทำธุรกิจพนันออนไลน์ด้วย ดีเอสไอน่าจะลงมติว่าการโอนเงิน 53 ล้านบาทครังนี้เป็นการฟอกเงิน ซึ่งการโอน 2 ครั้งก็ถือเป็น 2 กรรม

นอกจากนี้ ยังต้องจับตาการโอนเงินอีก 39 รายการจำนวน 1,091 ล้านบาทเข้าบัญชีส่วนตัวนายพันธ์ธวัชว่าเกี่ยวโยงกับใครบ้าง ตามที่ดีเอสไอมีข้อมูล โดยนายพันธ์ธวัชเคยให้สัมภาษณ์ว่าไม่เคยโอนเงินเข้าบัญชีส่วนตัว เท่ากับเป็นการโกหก และเงิน 1,093 ล้านบาทนั้นถ้าคิดเฉลี่ยการโอนต่อครั้งก็เท่ากับคร้งละ 28 ล้านบาท ไม่ใช่น้อยๆ แต่ทั้งหมดตนเองอยากให้ความเป็นธรรม โดยการดูว่านายพันธ์ธวัชจะมีอะไรไปชี้แจงต่อดีเอสไอ ซึ่งอาจจะมีข้อมูลอะไรที่เป็นทีเด็ดของเขาก็ได้

แต่ถ้าย้อนไปดูตอนที่ให้สัมภาษณ์เมื่อวันที่ 5 ม.ค.2566 เคยบอกว่าทุกบาทุกสตางค์ขึ้นเงินในชื่อของเขาหมด เขาเป็นตัวแทนขึ้นเงิน สลากทุกใบเขาขึ้นเองหมด ถ้านายพันธ์ธวัชพูดจริงก็คงไม่ยากในการชี้แจง บัญชีส่วนตัวของเขา ซึ่งมีบัญชีที่รับโอนเงินจากสำนักงานสลากกินแบ่งจากธนาคารกรุงไทยเข้ามาทุกงวด ตรงนี้ต้องเปิดเผยออกมาว่ามีการโอนเงินจากบัญชีสำนักงานสลากกินแบ่งเข้าบัญชีนายพันธ์ธวัชทุกงวดตามยอดที่ตรงกับจำนวนสลากที่ถูกรางวัลหรือไม่ เพื่อเป็นการพิสูจน์ว่าไม่โกหก และไม่ได้ขายรางวัลให้ใคร ถ้าชี้แจงได้ก็เดินหน้าต่อไป แต่ถ้าพิสูจน์ไม่ได้ เหตุการณ์จะบานปลายอย่างแน่นอน

 

ขอบคุณข้อมูล : ผู้จัดการออนไลน์

 

 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ข่าวล่าสุด

สุดทน "พ่อพิการ" ร้อง "กัน จอมพลัง" หลังถูกลูกทรพี ใช้จอบจามหัว-ทำร้ายร่างกาย จนนอน รพ.นับเดือน
สลด กระบะชนจยย.พลิกคว่ำตก "ดอยโป่งแยง" เชียงใหม่ เจ็บตายรวม 13 ราย
“สมศักดิ์” ยกนวดไทยเป็นมรดกชาติ สร้างมูลค่าเศรษฐกิจสุขภาพ เล็งพาหมอนวดโกอินเตอร์ โชว์ฝีมืองาน เวิลด์เอ็กซ์โปโอซาก้า ญี่ปุ่น
ห่ามาแล้ว! “แม่สอด” พบติดเชื้ออหิวาต์ เผยญาติฝั่งพม่าซื้อข้าวมากินด้วยกัน
ผกก.สภ.รัตนาธิเบศร์ สั่งตั้งคกก.สอบ "ตร.จราจร" รีดเงินแทนเขียนใบสั่ง
สตม. บุกทลายแก๊งคอลเซ็นเตอร์ กลางคอนโดหรูห้วยขวาง รวบ 6 คนจีน อึ้งเจอซิมการ์ด 2 แสนซิม
ครูบาอริยชาติ เชิญชวนพุทธศาสนิกชน ฉลองสมโภช 18 ปีวัดแสงแก้วโพธิญาณ และทำบุญฉลองอายุวัฒนมงคล 44 ปี
กกต.สั่งดำเนินคดีอาญา "ชวาล" ส.ส.พรรคประชาชน ยื่นบัญชีใช้จ่ายเท็จ โทษคุก-ตัดสิทธิเลือกตั้ง 5 ปี
จีนเตือนสหรัฐกำลังเล่นกับไฟหลังส่งอาวุธให้ไต้หวัน
อิลอน มัสก์วิจารณ์แรงผู้นำเยอรมันเหตุโจมตีตลาดคริสต์มาส

ดู LIVE รายการ

X

เราใช้ คุ้กกี้ เพื่อให้ทุกคนได้ประสบการณ์การใช้งานที่ดียิ่งขึ้น