วันที่ 22 ม.ค. นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ อดีตสมาชิกวุฒิสภา เปิดเผยว่า หลังจากได้อ่านคำฟ้อง คำพิพากษาศาลชั้นต้น คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ คดีระหว่างนายสุชาติ ตันเจริญ รองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่1 โจทก์ นายฉันท์ แป้นเพชร จำเลยที่ 1 นายระพี ผ่องบุพกิจ จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นคดีที่โจทก์ ฟ้องจำเลยทั้งสอง เรื่องความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ โดยคดีนี้ถึงที่สุดแล้ว ซึ่งในคำพิพากษาของศาลชั้นต้น ระบุไว้ส่วนหนึ่งว่า เป็นการฟ้องคดี โดยบิดเบือนข้อเท็จจริง เพื่อกลั่นแกล้งหรือเอาเปรียบจำเลยโดยมุ่งหวังผลเป็นอย่างอื่นยิ่งกว่าประโยชน์อื่นใดที่พึงได้โดยชอบ อาศัยเหตุผลดังที่ได้วินิจฉัยมาแล้ว คดีของโจทก์จึงไม่มีมูล พิพากษายกฟ้อง
นายเรืองไกร กล่าวว่า โจทก์อุทธรณ์ ต่อมาในคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ ระบุไว้ส่วนหนึ่งว่า ที่ศาลชั้นต้นพิพากษามานั้น ศาลอุทธรณ์แผนกคดีทุจริตและประพฤติมิชอบเห็นพ้องด้วย อุทธรณ์ข้อนี้ของโจทก์ฟังไม่ขึ้น กรณีไม่ต้องวินิจฉัยในส่วนอุทธรณ์ข้ออื่น ๆ ของโจทก์อีก เพราะไม่ทำให้ผลของคำพิพากษาเปลี่ยนแปลงไป พิพากษายืน คดีนี้ทั้งสองฝ่ายไม่ยื่นฎีกา คดีจึงถึงที่สุดแล้ว ต่อมา นายระพี ผ่องบุพกิจ ได้ยื่นฟ้องกลับนายสุชาติ ตันเจริญ ต่อศาลจังหวัดระยอง ฐานฟ้องเท็จ คดีอยู่ชั้นรอไต่สวนมูลฟ้อง ซึ่งนัดไต่สวนในวันที่ 16 ม.ค.66 แต่มีการขอเลื่อนนัดไปเป็นวันที่ 6 ก.พ.66