ชีวิตที่ต้องสู้ กับเส้นทางการเมืองของ “เสี่ยเฮ้ง” สุชาติ ชมกลิ่น ถึงวันนี้ พูดได้อย่างเต็มปาก ว่ากลายเป็นเนื้อเดียวกับ “พรรครวมไทยสร้างชาติ” อย่างหมดหัวใจ ... พร้อมขับเคลื่อนทัพภายใต้หลังคาบ้านหลังใหม่ ด้วยอุดมการณ์เดิม #เคียงข้างลุงตู่ อยู่ทำประโยชน์เพื่อ ประเทศชาติ ศาสตร์ กษัตริย์ และ ประชาชน

วิถีชีวิต ของ “เฮ้ง” สุชาติ ชมกลิ่น เด็กน้อยที่เกิดในสถานีอนามัย ตำบลบ้านปึก จังหวัดชลบุรี มีรากฐานชีวิตครอบครัวเป็นชนชั้นรากหญ้า ดำเนินชีวิตแบบธรรมดาๆ ช่วยพ่อแม่หาเลี้ยงคนในบ้านตั้งแต่เริ่มจำความได้ และเริ่มต้น “ประสิทธิ์ประสาท” วิชาความรู้ จากโรงเรียน วัดกลางดอน ในตลาดหนองมน ใช้ชีวิตอยู่กับวัด กินข้าวในวัด และรับใช้หลวงพ่อ ….. จนก้าวเข้าสู่วัยหัวเลี้ยวหัวต่อ “สุชาติ” คนนี้ ก็ยังใฝ่ดี มีใจรักในอาชีพหาบเร่ ค้าขาย เก็บเงินทุกบาทส่งตัวเองเรียนจนจบการศึกษา กระทั่งลืมตาอ้าปากได้เพราะความขยันมุ่งมั่น พยายาม ผ่านร้อน ผ่านหนาวลองผิดลองถูกมาหลายอาชีพ ก่อนจะประสบความสำเร็จขึ้นแท่นเป็น “นักธุรกิจอสังหาทรัพย์” เบอร์ใหญ่ในภาคตะวันออก

หนทางชีวิตของ “สุชาติ” คนนี้ พลิกผันอีกครั้ง หลังพาตัวเองเข้ามาสู่ “เกมการเมืองท้องถิ่น” ชื่อเสียงของเขาใครได้ยินก็ต้องรู้จักคุ้นหู เพราะไม่ว่าจะวางตัวอยู่จุดไหน ขยับทำอะไร ก็กลายเป็นที่รักของชาวบ้าน สอบผ่านทุกงานยาก ได้รับความไว้วางใจอย่างล้นหลาม ท้ายที่สุดกระโดดลงเล่นการเมืองระดับชาติ ชื่อของเขาก็ยัง “ผงาด” แผ่บารมีไปทั่วทั้งจังหวัดชลบุรี กระทั่งได้นั่งตำแหน่งที่สูงสุดในชีวิตวันนี้ คือ “รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน” ปฎิบัติหน้าที่ได้ ถูกอก-ถูกใจ ชนชั้นแรงงาน เข้าถึงคนรากหญ้า มอบนโยบาย แก้ปัญหาและมอบสิทธิประโยชน์ต่างๆอย่างทั่วถึง ส่งผลให้เขากลายเป็น “รัฐมนตรีขวัญใจผู้ใช้แรงงาน” คนแรกและคนเดียวในประเทศไทย

ข่าวที่น่าสนใจ

ทันทีที่ “สุชาติ ชมกลิ่น” ยื่นหนังสือลาออกจากการเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดชลบุรี เมื่อวันที่ 8 มกราคม ที่ผ่านมา ไม่ได้เป็นเรื่องที่เหนือความคาดหมาย เพราะผ่านมาได้เพียงข้ามวัน เขาปรากฏกาย เปิดตัวเคียงคู่ “พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา” นายกรัฐมนตรี สวมเสื้อคลุมยี่ห้อพรรค “รวมไทยสร้างชาติ” ประกาศตัวสมัครสมาชิกพรรคอย่างเป็นทางการ พร้อมยืนยันเดินตามเจตนารมณ์เดิม คือทุ่มเททำงาน เพื่อประเทศชาติ ศาสตร์ กษัตริย์ และ ประชาชน

ถึงวันนี้ “เสี่ยเฮ้ง” พูดได้อย่างเต็มปากว่า ตัวเขาเองคือเนื้อเดียวกับพรรค “รวมไทยสร้างชาติ” จึงมีเป้าหมายและแนวทางการทำเพื่อชาติเป็นไปในทิศทางเดียวกัน มองถึงประโยชน์ส่วนรวมของประชาชนเป็นสำคัญ อีกทั้งยังประกาศตัวขอเป็นอีกหนึ่งฟันเฟืองที่จะนำทัพ กวาดเก้าอี้ กว่า 40 ที่นั่ง ให้กับพรรครวมไทยสร้างชาติ นอกจากนี้ยังมีความเชื่อมั่นในตัวหัวหน้าพรรคอย่าง “พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค” ว่าจะสามารถเป็นจ่าฝูง กวาดชัยชนะในการเลือกตั้งครั้งที่กำลังจะมาถึงอย่างเหนือความคาดหมาย

ปลายปี 2565 ก่อนที่ “เสี่ยเฮ้ง” จะลาออกจากการเป็นสมาชิก “พรรคพลังประชารัฐ” สื่อมวลชนได้จ่อไมค์สัมภาษณ์ “เสี่ยเฮ้ง” พร้อมกับตั้งคำถามว่า … “ลุงตู่” มีเวลาอยู่ในแวดวงการเมืองน้อยลงทุกที ยังจะตามไปอีกหรือ” ซึ่งคำตอบที่ออกมาจากปากเสี่ยเฮ้ง ก็คว้าหัวใจคนรักลุงตู่ ไปทุกหย่อมหญ้า กลายเป็นประโยควลีเด็ดที่แชร์กันสนั่นโซเชียลมีเดียในข้ามคืน … และใจความดังกล่าว “เสี่ยเฮ้ง” ระบุว่า …. “ถ้าเรารักใคร เวลาเขาเหลือน้อย เรายิ่งต้องอยู่กับเขา แสดงให้เขาเห็นว่าเรารักเขา แต่ถ้าเขาเหลือเวลาน้อย แล้วเรายังทิ้งเขา ต้องพิจารณาแล้วว่าเราเป็นคนแบบไหน”

ผ่านร้อนผ่านหนาว มาหลายขวบปี เส้นทางบนถนนสายการเมืองของ “เสี่ยเฮ้ง” คนนี้ ได้หันเหเปลี่ยนทิศอีกครั้ง … ทว่า ความมุ่งมั่นตั้งใจยังคงยืนหยัดอยู่บนอุดมการณ์เดิม คือ เพื่อชาติ ศาสน์ กษัตริย์ และประชาชน ได้กินดีอยู่ดี มีความสุขถ้วนหน้า ซึ่งตัวเขาเองพร้อมแล้วที่จะขับเคลื่อนตัวเองภายใต้ร่มเงาชายคาบ้านหลังใหม่ “รวมไทยสร้างชาติ”