3 ปีของการดำรงตำแหน่งเลขาธิการคณะกรรมกฤษฎีกา “ปกรณ์ นิลประพันธ์” ออกจะไม่เหมือนคนอื่นที่รอให้หน่วยงานรัฐส่งปัญหาทางกฎหมายเข้ามาให้ช่วยปรับปรุงแก้ไข แต่ “ปกรณ์” คิดว่าเมื่อสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเป็นหน่วยงานกลางทางกฎหมายของรัฐบาลที่มองเห็นปัญหาและช่องโหว่ของกฎหมาย ถ้าทำงานเชิงรุก น่าจะเป็นประโยชน์มากกว่า การชิงลงมือเสนอแก้ไขกฎหมายที่เป็นปัญหาโครงสร้างมายาวนานเสียเอง ไม่ต้องรอให้เจ้าของกฎหมายตั้งแท่นขึ้นมา ซึ่งไม่รู้จะอีกนานเท่าไร น่าจะเป็นประโยชน์แก่ประเทศชาติและประชาชนมากกว่า เขาเล่าว่ามีกฎหมาย 5 ฉบับที่คณะกรรมการพัฒนากฎหมาย คณะกรรมการกฤษฎีกา ตัวเขาเอง และน้องๆ ชาวกฤษฎีกาทุกคนภูมิใจมากที่ผลักดันสำเร็จขึ้นมาได้ตามแนวทางนี้
1. พ.ร.บ.การอำนวยความสะดวกในการพิจารณาอนุญาตของทางราชการ เป้าหมายเพื่อให้ประชาชนสะดวก ประหยัด และ ลดขั้นตอนวุ่นวายโดยไม่จำเป็น พร้อมปิดช่องทางทุจริตรับสินบนใต้โต๊ะ การที่ทุกหน่วยงานนำกระบวนการขั้นตอนการอนุมัติอนุญาตตามกฎหมายของตนขึ้นมาเปิดเผย และกำหนดระยะเวลาการทำงานแต่ละขั้นตอนให้ชัดเจนนั้น เป็นพื้นฐานสำคัญที่ส่งผลให้อันดับความยากง่ายในการประกอบธุรกิจของประเทศไทยถีบตัวเพิ่มขึ้น 7 อันดับ
“กฎหมายการอำนวยความสะดวก คือ การเอาของที่อยู่ใต้โต๊ะขึ้นมาบนโต๊ะ ลดทุจริตคอร์รัปชั่น เพื่อความโปร่งใสในการบริการพี่น้องประชาชนและเพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของระบบราชการ” ปกรณ์ กล่าว
2. พ.ร.บ.การปฏิบัติราชการทางอิเล็กทรอนิกส์ มีเป้าหมายเพื่อการปรับโครงสร้างปรุงวิธีการทำงานของภาครัฐ ด้วยตรากฎหมายกลางเพียงฉบับเดียวเพื่อรับรองความชอบด้วยกฎหมายของการปฏิบัติราชการและการอนุมัติอนุญาตของภาครัฐตามกฎหมายทุกฉบับ หากได้กระทำลงโดยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ เขาบอกว่าการระบาดของโควิด 19 ที่ทำให้ทุกหน่วยงานต้อง work from home เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้การผลักดันการปฏิบัติราชการทางอิเล็กทรอนิกส์ประสบความสำเร็จเร็วขึ้นด้วย แต่มีข้อควรระมัดระวัง คือ การรักษาความลับทางราชการไม่ให้รั่วไหล
3. พรก แก้ไขประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ในเรื่องอัตราดอกเบี้ยผิดนัดชำระหนี้ จากเดิมที่คิดในอัตรา 7.5% มาเกือบร้อยปี ไม่มีใครคิดจะแก้ไข ซึ่งอัตราดอกเบี้ยดังกล่าวนั้นสูงกว่าอัตราดอกเบี้ยเงินฝากมาก (ปัจจุบันอยู่ในราว 1.25% เท่านั้น) ซึ่งการเรียกดอกผิดนัดสูงมากเช่นนี้เป็นการซ้ำเติมลูกหนี้และทำให้ลูกหนี้หลุดพ้นจากความเป็นหนี้ได้ยาก แถมยังทำให้เจ้าหนี้ยื้อคดีความเพื่อหวังส่วนต่างดอกเบี้ยด้วย คดีรกโรงรกศาลเป็นอันมาก นอกจากนี้วิธีหักเงินเพื่อชำระหนี้ก็ไม่เป็นธรรม คือให้นำไปหักดอกเบี้ยก่อนหักต้นเงิน ทั้งที่ควรหักเงินต้นก่อน จึงไม่มีทางที่หนี้ของลูกหนี้จะลดลงเลยซึ่งไม่เป็นธรรมแก่ลูกหนี้อย่างมาก เราจึงเสนอให้แก้ไขเป็นว่าให้นำเงินที่ลูกหนี้ชะระหนี้นั้นไปหักต้นก่อน ต้นลด ดอกจะลด และแก้อัตราดอกเบี้ยผิดนัดให้เป็น managed rated โดยลดจาก 7.5% เป็น 3% ในเบื้องต้น ทั้งนี้ เพื่อแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำและคดีรกโรงรกศาล
“ในสถานการณ์ปกติคงทำได้ยาก แต่เนื่องจากสถานการณ์โควิด -19 ที่ทำให้พี่น้องประชาชนเดือดร้อนมาก จากเดิมเราเสนอให้ออกเป็น พรบ. แต่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เห็นว่าเป็นเรื่องที่เป็นประโยชน์แก่พี่น้องประชาชน ไม่ควรรอช้า จึงสั่งการให้ออกเป็น พรก. ซึ่งต่อมาสภาก็เห็นชอบด้วยโดยไม่มีผู้ใดคัดค้าน ความชอบในเรื่องนี้จึงต้องให้เครดิตท่านนายกฯ ที่กล้าตัดสินใจออกพระราชกำหนด” ปกรณ์ กล่าว
4. พระราชบัญญัติว่าด้วยการปรับเป็นพินัย กฎหมายนี้สอดคล้องกับมาตรา 77 ของรัฐธรรมนูญ ที่กำหนดให้ใช้โทษอาญาเพียงเท่าที่จำเป็น ซึ่งโทษปรับนั้นถือเป็นโทษอาญาตามประมวลกฎหมายอาญา และระบบกฎหมายไทยแต่เดิมมาก็ใช้แต่โทษอาญาตะพึดไปทั้งเรื่องใหญ่ร้ายแรงและเรื่องเล็กเรื่องน้อย เช่น สูบบุหรี่ในที่สาธารณะ ปรับ 2 พันบาท เป็นต้น และมื่อเป็นคดีอาญา กว่าจะปรับได้ก็ต้องไปแจ้งความดำเนินคดี พนักงานสอบสวนทำสำนวนส่งอัยการฟ้องศาล กว่าศาลจะพิพากษา ยืดยาวมาก ต้นทุนของรัฐในการบังคับการให้เป็นไปตามกฎหมายสูงมาก การใช้มาตรการทางอาญาเพรื่อไปเช่นนี้จึงไม่ได้ผล ตรงข้าม กลับมีการนำโทษอาญาไปข่มชู่รีดไถผู้กระทำความผิดเสียอีก จึงกลายเป็นวลีเสียดสีสังคมว่า “คุกมีไว้ขังคนจน” ทั้ง ๆ ที่ “คุกมีไว้ขังคนกระทำความผิด” นอกจากนี้ ประชาชนทั่วไปที่ทำผิดเล็กน้อยก็อาจถูกบันทึกทะเบียนประวัติอาชญากรรมด้วยเพราะเป็นความผิดอาญา เราจึงเสนอให้กำหนดโทษปรับเป็นพินัยขึ้น โทษปรับอาญาสำหรับความผิดเล็ก ๆ น้อย ๆ ไม่ร้ายแรงตามกฎหมายกว่าร้อยฉบับจะถูกแปลงเป็นโทษปรับเป็นพินัยแทน และจะไม่มีการบันทึกประวัติอาชญากรรมสำหรับผู้กระทำความผิดเล็กน้อยเหล่านี้อีกต่อไปเช่นเดียวกับประเทศพัฒนาแล้ว เป็นการสร้างความเป็นธรรมในสังคม กฎหมายนี้จะเริ่มบังคับใช้ภายในเดือน ก.พ.2566 นี้
5. พรบ กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) “เรื่องนี้ต้องขอบคุณ ดร. ขจร ธนะแพสย์” ปกรณ์เล่าให้ฟังว่าอยู่ ๆ ท่านก็มาขอพบผมที่ทำงานทั้งที่ไม่ได้รู้จักกันมาก่อน ท่านเล่าปัญหาของลูกหนี้กองทุน กยศ. 6 ล้านคน ให้ฟัง ผมฟังแล้วก็ตกใจจึงกราบเรียนนายกรัฐมนตรีว่าคงต้องยกเครื่องโครงสร้างสินเชื่อ กยศ.ใหม่ ท่านนายกรัฐมนตรีเห็นข้อมูลแล้วก็ร้อนใจ นำเข้าไปสั่งการในคณะรัฐมนตรีให้คณะกรรมการพัฒนากฎหมายของกฤษฎีกาเสนอแก้ไขกฎหมายเรื่องนี้อย่างเร่งด่วน เราก็รับฟังความเห็นของภาคส่วนต่าง ๆ แล้วนำมาปรับปรุงแก้ไขกฎหมาย กยศ. ซึ่งทางท่านผู้จัดการกองทุน กยศ. ก็ให้ความร่วมมืออย่างดียิ่ง โดยการปรับลดเพดานทั้งอัตราดอกเบี้ยตามสัญญาและอัตราดอกเบี้ยผิดนัดให้มีความเหมาะสม ปรับปรุงงวดการจ่ายชำระหนี้ให้ถี่ขึ้นจาก งวดปี เป็น งวดเดือน และขยายระยะเวลาผ่อนชำระหนี้ให้ยาวขึ้นจาก 15 ปี เป็น 30 ปี พร้อมกำหนดให้เมื่อผู้กู้จ่ายชำระหนี้เข้ามาให้นำไปตัด “เงินต้น” ก่อน เพื่อช่วยให้ปลดหนี้ของผู้กู้หมดเร็วขึ้น ทั้งยังยกเลิกให้ไม่ต้องมี “ผู้ค้ำประกัน” รวมถึงการปรับปรุงกฎเกณฑ์ที่จะเอื้อให้ กยศ. สามารถดำเนินภารกิจได้คล่องตัวในการปล่อยกู้ได้หลากหลายเช่น กู้ยืมไป Reskill หรือ Upskill เท่าทันการเปลี่ยนแปลงทางการศึกษาและความต้องการแรงงานยุคใหม่
“ผมคิดว่าเราแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างไปหลายเรื่องในช่วงหลายปีที่ผ่านมา แต่ปัญหาต่าง ๆ นับวันยิ่งสลับซับซ้อนขึ้นมาก ปัจจัยรุมเร้าด้าน Geopolitics และ climate change ก็ทำให้เราต้องปรับระบบเศรษฐกิจและสังคมอย่างรวดเร็ว การพัฒนาประเทศและการพัฒนากฎหมายในระยะต่อไปต้องให้ความสำคัญกับเรื่อง ESG (Environmental, Social, and Governance) อย่างมากเหมือนเป็นยอดของปิระมิด การปรับโครงสร้างขนานใหญ่คงจะตามมาในอีกไม่กี่ปีข้างหน้านี้ทั้งในภาคธุรกิจและภาครัฐ อยู่อย่างเดิมคงไม่ได้ ไม่งั้นเราคงเหมือนกบในหม้อต้ม (frog in the broiler) และอาจถูกทิ้งไว้ข้างหลัง ถ้ายังคิดแก้ปัญหาเฉพาะหน้าเป็นคราว ๆ ไป”
/-/-/