ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายมงคลกิตติ์ สุขสินธารานนท์ ส.ส.บัญชีรายชื่อและหัวหน้าพรรคไทยศรีวิไลย์ พร้อมด้วย นางสาวภคอร จันทรคณา-นายวิวัฒน์ เจริญพาณิชย์ศิริ รองหัวหน้าพรรค,นายสรกฤช จันทรคณา โฆษกพรรค, นางสาว อรศศิพัชร์ มามีเกตุรัตน์ โฆษกประจำตัว ส.ส.มงคลกิตติ์ฯ,นางสาวณัฐปภัสร์ วรธันย์ผาสุข รองโฆษกพรรค ,นางสาวกนิษฐรินทร์ พัชรภักดีโชติ รองโฆษกพรรคฯ นางสาวกฤษยากร สรชัย ผู้ช่วยเหรัญญิกพรรค,นายอนุรักษ์ อมรเมตตาจิตต์ ผู้ช่วยเลขาธิการพรรค,นายอดิศร สังค์จันทร์ กรรมการบริหารพรรค ลงพื้นที่ตลาดกิมหยง ชุมชนวัดฉื่อฉาง และในช่วงเย็นได้มาเยี่ยมประชาชน ตลาดสมอลล์ คลอง ร.5 ตลาดศรีตรัง อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา เพื่อลงพื้นที่หาเสียงสนับสนุนและแนะนำตัวว่าที่ผู้สมัคร ส.ส. บัญชีรายชื่อ และ ส.ส.เขต ของจังหวัดสงขลา ได้แก่ นางสาวสุขสุนันท์ กีรติดวงจันทร์ นางสาววาสนา ปูทองจันทร์ ว่าที่ ผู้สมัคร ส.ส. สงขลา เขต 4 (อ.ระโนด อ.กระแสสินธุ์ อ.สทิงพระ อ.สิงหนคร) และ นายอภิศักดิ์ นุ้ยหล๊ะ ว่าที่ ผู้สมัคร ส.ส.สงขลา เขต 6 (อ.สะเดา อ.คลองหอยโข่ง) ทั้งนี้ ตลอดการลงพื้นที่ของนายมงคลกิตติ์ และคณะ ได้มีประชาชนรุมล้อมขอถ่ายรูปกับนายมงคลกิตติ์ นางสาว อรศศิพัชร์ และนางสาวกนิษฐรินทร์ เป็นจำนวนมาก รวมทั้ง มีพ่อค้าแม่ค้าในตลาดกิมหยงได้มาสอบถามถึงนโยบายพรรคในเรื่องของการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจด้วย
โดยนายมงคลกิตติ์กล่าวว่า การลงพื้นใต้ของพรรคศรีวิไลย์ ตั้งแต่วันที่ 6 – 13 กุมภาพันธ์นี้ โดยเริ่มจากการลงพื้นที่ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา ซึ่งถือเป็นพื้นที่เศรษฐกิจที่สำคัญ เพราะเป็นศูนย์กลางการค้าขาย เนื่องจากการคมนาคมสะดวกทั้งทางบก ทางน้ำ และทางอากาศ โดยมีพ่อค้าแม่ค้าหลากหลายเชื้อชาติมาค้าขายและมีส่วนสร้างให้ อ.หาดใหญ่ และประเทศไทยมีเงินตราเข้าประเทศเป็นจำนวนมาก อย่างไรก็ตาม จากสถานการณ์การระบาดของโควิด – 19 รวมทั้ง การบริหารงานที่ผิดพลาดของรัฐบาล ทำให้เศรษฐกิจของ อ.หาดใหญ่ ไม่คึกคักเหมือนแต่ก่อน เนื่องจากประชาชนยังไม่มีกำลังซื้อ เพราะเกรงว่า อาจจะมีวิกฤตทางเศรษฐกิจอีก จึงมีการระมัดระวังในการใช้จ่ายและเก็บเงินสดรวมทั้งทรัพย์สินอื่นๆ รวมทั้ง จากการที่ตนและคณะ ลงพื้นที่ก็เกิดมีความรู้สึกเศร้าใจ โดยเฉพาะการที่มีตึกที่ปล่อยเช่าและขายเป็นจำนวนมาก ซึ่งบางตึกมีชาวบ้านมาเล่าให้ตนฟังว่า แต่ก่อนเป็นร้านค้าใหญ่ที่มีประชาชนและนักท่องเที่ยวจับจ่ายซื้อของเป็นประจำ แต่ปรากฏว่า ทุกวันนี้ กลับต้องรอคอยความหวังว่า จะมีใครมาเช่าตึกหรือจะต้องขายตึกให้กับธนาคาร เพื่อต่อลมหายใจของตัวเอง ดังนั้น พรรคไทยศรีวิไลย์ จึงได้มีนโยบายอัดฉีดเงินจากรากหญ้าพลิกฟื้นเศรษฐกิจ โดยมีการปล่อยกู้ครัวเรือนละ 150,000 บาท 22 ล้านครัวเรือน วงเงิน 3.3 ล้านล้านบาท ดอกเบี้ย 0.01% ผ่อน 4 ปี ไม่คิดเครดิตบูโร มีประกันค้ำวงเงิน จะทำให้ประชาชน สามารถนำเงินไปใช้หนี้นอกระบบ ชำระหนี้ผ่อนในระบบ เหลือเงินหมุนเวียนธุรกิจค้าขาย ทำให้เศรษฐกิจทั้งประเทศเคลื่อนไปได้ ทั้งนี้ เดิมทีในปีงบประมาณ 2566 รัฐบาลได้จัดงบขาดดุล 7 แสนล้านบาท แต่ถ้าอีดฉีดตามนโยบายของพรรคไทยศรีวิไลย์ รัฐจะได้ภาษี vat7% 215,887 ล้านบาท ภาษีนิติบุคคลอีก 430,434 ล่านบาท แค่ 2 ระบบภาษีที่รัฐจะได้ 646,321 ล้านบาท ก็สามารถจัดงบปี 2567 แบบสมดุลได้เลย