ที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) นายสมชัย ศรีสุทธิยากร ประธานยุทธศาสตร์ขับเคลื่อนนโยบาย พรรคการเมืองพรรคหนึ่ง ยื่นหนังสือต่อ กกต.ขอให้ตรวจสอบการใช้ตำแหน่งหน้าที่ และทรัพยากรของรัฐ เพื่อเอื้อประโยชน์ต่อการหาเสียงเลือกตั้ง เข้าข่ายกระทำผิดต่อพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญการเลือกตั้ง ส.ส. มาตรา 78 มีโทษจำคุก 1 – 10 ปี ปรับ 20,000 – 200,000 และศาลสั่งเพิกถอนสิทธิการเลือกตั้ง 20 ปี ตามมาตรา 149 จากกรณี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ลงพื้นที่ตรวจราชการ และติดตามการดำเนินโครงการด้านทรัพยากรน้ำที่ จ.นครปฐม และราชบุรี เมื่อวันที่ 1 ก.พ.2566 ช่วงเวลา 14.00น.
“สมชัย”ร้อง กกต. ตรวจสอบ “บิ๊กป้อม”ใช้ตำแหน่งหน้าที่ และทรัพยากรรัฐ เอื้อประโยชน์ต่อการหาเสียง เข้าข่ายผิดกฏหมายเลือกตั้ง ในระหว่างตรวจราชการ นครปฐม ราชบุรี 1 ก.พ.2566 ช่วงเวลา 14.00น.
ข่าวที่น่าสนใจ
โดยนายสมชัย กล่าวว่า การเดินทางตรวจราชการดังกล่าวของ พล.อ.ประวิตร ซึ่งไม่ใช่การลาราชการ แต่เป็นการปฏิบัติราชการแน่นอน เพราะเวลาดังกล่าวอยู่ในกำหนดการของการตรวจราชการ และก็มีป้ายรับรองต่างๆ เขียนชัดเจนว่าเป็นการตรวจราชการ แต่กลับมีผู้สมัคร ส.ส.ของพรรค พปชร.ร่วมคณะไปด้วย มีการให้กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน มาเกณฑ์ประชาชนมารับฟังการปราศรัย มีเจ้าหน้าที่ของรัฐ ข้าราชการในพื้นที่ มาร่วมรับคณะผู้ตรวจราชการ ตลอดจนมีการใช้ทรัพยากร เช่น รถยนต์ น้ำมัน ของคณะผู้ตรวจราชการ รวมทั้ง พล.อ.ประวิตร ได้มีการเรียกผู้สมัครของพรรคมาแนะนำตัวกับประชาชน พร้อมกับขอให้ประชาชนเลือกผู้สมัครของพรรค พปชร.ในการเลือกตั้ง ส.ส.ที่จะมีขึ้น
“การกระทำดังกล่าวของพล.อ.ประวิตร ซึ่งมีตำแหน่งเป็นรองนายกฯ มีสถานะเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ เข้าข่ายเป็นความผิดตามมาตรา 78 และแนวทางในการหาเสียงของ กกต. ที่ให้ข้าราชการวางตัวเป็นกลางทางการเมืองโดยกกต.มีอำนาจในการสั่งให้ยุติการกระทำ และควรดำเนินการเร่งด่วน โดยควรสั่ง หรือเตือน ว่าการตรวจราชการในอนาคตต้องไม่มีการกระทำในลักษณะนี้เกิดขึ้นอีก เพราะจะเห็นได้ว่า พล.อ.ประวิตร และรัฐมนตรี มีกำหนดการตรวจราชการค่อนข้างถี่ในช่วงนี้ รวมทั้งต้องแจ้งไปยังนายกรัฐมนตรีในฐานะผู้บังคับบัญชาเพื่อให้ตักเตือน และสั่งสอบวินัยของ พล.อ.ประวิตร รวมทั้งถ้ายังคงให้ พล.อประวิตรปฏิบัติหน้าที่รองนายกฯ ต่อไป จะเป็นปัญหาอุปสรรคทำให้การเลือกตั้งไม่มีความเป็นกลาง ก็สามารถสั่งให้ พล.อ.ประวิตร ยุติการปฏิบัติหน้าที่เป็นการชั่วคราว จนกว่าการเลือกตั้งจะแล้วเสร็จ”
นายสมชัยระบุว่า อยากเห็น กกต.ดำเนินการเรื่องนี้อย่างเร่งด่วน เพราะมิฉะนั้นจะเกิดการปฏิบัติในลักษณะนี้ ต่อเนื่องต่อไป กว่า กกต.จะตัดสินใช้เวลาหลายเดือน คนที่ปฏิบัติหน้าที่ราชการจะใช้ตำแหน่งหน้าที่เอื้อประโยชน์ ในการหาเสียงของตนเองและพรรคพวกได้ ซึ่งไม่ถูกต้อง กกต.จึงต้องบอกว่าเรื่องนี้ทำไม่ได้ ต้องยุติ แต่กระบวนการสอบสวนเพื่อลงโทษทางอาญานั้นสามารถใช้ระยะเวลาได้ ซึ่งคิดว่าในฐานะของคนที่ดำรงตำแหน่งทางราชการ ทั้งนายกฯ รองนายกฯ และรัฐมนตรี ย่อมได้เปรียบอยู่แล้วในการใช้งบประมาณของรัฐ ในการจะนำโครงการของรัฐลงไปในพื้นที่ แต่อย่างน้อยที่สุดต้องไม่สร้างความได้เปรียบจนมากเกินไป ถึงขนาดเกณฑ์คนมาฟังการปราศรัยของผู้สมัคร ในกรณีของพรรคอื่นยังไม่ชัดเจนเท่าพรรคนี้
นายสมชัย ยังกล่าวอีกว่า ในสัปดาห์หน้าก็จะมาการร้องรองนายกฯ อีกคนหนึ่ง ที่มีการใช้ตำแหน่งหน้าที่ และทรัพยากรของรัฐเพื่อเอื้อประโยชน์ต่อการหาเสียงเช่นเดียวกัน โดยมีการติดป้ายตามสถานที่ราชการ โดยให้ส่วนราชการเป็นคนสั่งการ ซึ่งเอกสารหลักฐานมีจำนวนมากถึง 50 หน้า อย่างไรก็ตามในส่วนของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมขอชมว่าท่านนายกฯ พยายามที่จะอยู่ในกรอบตามที่ กกต.กำหนด มีการระมัดระวังตัวมากที่สุด แต่สำหรับของพรรคที่ได้ไปดำเนินกิจการต่างๆ ต้องพึงระมัดระวังอย่างการประชุมใหญ่วิสามัญของพรรครวมไทยสร้างชาติ ที่เกิดขึ้นนายกฯ ไม่เกี่ยวเลย นายกฯ ไปเพียงสมัครเป็นสมาชิก และเปิดตัวบนเวที แต่การกระทำของพรรคที่หมิ่นเหม่ต่อกฎหมาย และได้ร้องต่อ กกต.ไปแล้ว รวมถึงเรื่องต่างๆที่ได้มีการร้อง กกต.ไปก่อนหน้านี้ก็ยังไม่มีความคืบหน้าจาก กกต. ไม่มีการสอบถามพยานที่ได้มีการให้ชื่อไป ซึ่งในสัปดาห์หน้าก็จะทวงถาม กกต.ในทุกเรื่องที่เคยยื่น จึงเห็นว่ากกต.ไม่ตั้งใจปฏิบัติหน้าที่ และปฏิบัติหน้าที่ไม่เป็นกลาง คงมีการรวบรวมหลักฐานเพื่อดำเนินกับ กกต.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
-