แพทย์เตือน "โรคติดจอ" เสี่ยงเกิดอาการ Computer Vision Syndrome (CVS) เช็ค 8 สัญญาณเตือนที่ชาวออฟฟิศ สายโซเชียล ไม่ควรมองข้าม แนะ 5 วิธีป้องกันก่อนทรมานกว่าเดิม
ข่าวที่น่าสนใจ
“โรคติดจอ” ปัจจุบัน มีการใช้อุปกรณ์ดิจิตอล เช่น คอมพิวเตอร์ มือถือ แท็บเล็ต ในชีวิตประจำวัน จนกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตและการทำงาน ซึ่งจากการที่ใช้อุปกรณ์ดิจิตอลมากขึ้น จึงทำให้เกิดอาการ Computer Vision Syndrome (CVS) กันมากยิ่งขึ้น หลายคนเริ่มมีอาการผิดปกติ โดยมี 8 สัญญาณเตือน ดังนี้
- ปวดเมื่อยล้าดวงตา
- ตาแห้ง แสบตา
- ตาไม่สู้แสง
- ปวดกระบอกตา
- ปวดศีรษะ
- ปวดไหล่-ต้นคอ
- ตาพร่า
- ตาปรับโฟกัสได้ช้าลง
ร่สมกับมีการใช้งานคอมพิวเตอร์ติดต่อกันเป็นเวลานานในแต่ละวัน แนะนำอย่ามองข้าม ควรรีบปรึกษาจักษุแพทย์
นายแพทย์ไพโรจน์ สุรัตนวนิช รองอธิบดีกรมการแพทย์ กล่าวว่า ยุคปัจจุบันสังคมออนไลน์มีการใช้สมาร์ทโฟนในการอัพเดทข่าวสาร ข้อมูลตลอดเวลา ให้กับทันเหตุการณ์ ทำให้ต้องใช้สายตาในการจ้องหน้าจอเป็นเวลานาน อาจจะใช้เวลาเกือบทั้งวันจ้องแต่หน้าจอสมาร์ทโฟน คอมพิวเตอร์ รวมไปถึงแท็บเล็ต ถ้าไม่แบ่งเวลาให้เหมาะสมอาจส่งผลต่อสุขภาพได้ โดยเฉพาะดวงตาที่ต้องรับภาระจากการจ้องหน้าจอคอมพิวเตอร์ และโทรศัพท์มือถือเป็นเวลานาน ๆ ไม่ว่าจะเป็น
- การนั่งทำงาน
- หรือการประชุมผ่านอินเตอร์เน็ต
- อาจเป็นปัญหาต่อดวงตาที่พบจากการใช้อุปกรณ์เหล่านี้ได้
นายแพทย์อาคม ชัยวีระวัฒนะ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลเมตตาประชารักษ์ (วัดไร่ขิง) กล่าวเพิ่ม ปัจจุบันคอมพิวเตอร์ แท็บเล็ท สมาร์ตโฟน เข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวันมากขึ้น เชื่อว่าหลายคนอาจเคยประสบปัญหาในอาการเหล่านี้ เช่น
- ทำให้ปวดเมื่อยตา
- ตาแห้ง ตาล้า
- แสบตา เคืองตา
- ตาพร่ามัว
- โฟกัสได้ช้าลง
- ตาสู้แสงไม่ได้
- ปวดกระบอกตา ปวดศีรษะ
- หรือบางครั้งมีอาการปวดหลัง ปวดไหล่ หรือปวดต้นคอร่วมด้วย
อาจส่งผลต่อการนอนหลับได้ หากมีอาการที่กล่าวข้างต้น ร่วมกับการใช้งานคอมพิวเตอร์ติดต่อกันเป็นเวลานานในแต่ละวัน อาจบ่งบอกว่าอาจอยู่ในกลุ่มอาการที่เรียกว่า computer vision syndrome แม้ว่ากลุ่มอาการนี้ไม่ได้ก่อให้เกิดอันตรายร้ายแรงต่อดวงตาหรือการมองเห็น แต่มักก่อให้เกิดความไม่สบายตา และอาจเป็นปัญหารบกวนการทำงานหรือการใช้ชีวิตประจำวันได้
ภาวะ computer vision syndrome คืออะไร?
- กลุ่มอาการทางตา ที่เกิดจากการใช้สายตากับคอมพิวเตอร์เป็นเวลานาน โดยจะมีอาการดังกล่าวข้างต้น
- มีการศึกษาพบว่าประมาณ 90% ของผู้ที่ใช้คอมพิวเตอร์ต่อเนื่องมากกว่า 3 ชั่วโมง/วัน มักเคยประสบกับกลุ่มอาการนี้
สาเหตุของอาการ computer vision syndrome (CVS) จาก “โรคติดจอ”
อาจเกิดได้หลายสาเหตุ เช่น
- การกระพริบตาลดลงขณะใช้คอมพิวเตอร์ ทำให้ตาแห้ง
- แสงสว่างภายในห้องไม่เหมาะสม รวมทั้งการมีแสงสะท้อนจากจอคอมพิวเตอร์
- การที่ตัวอักษรบนจอคอมพิวเตอร์ไม่คมชัดจึงทำให้ต้องใช้ความพยายามในการโฟกัสมากขึ้นจึง ก่อให้เกิดอาการตาเมื่อยล้าได้
- ระยะห่างจากหน้าจอที่ไม่เหมาะสม
- รวมถึงระดับสายตาในการมองจอคอมพิวเตอร์
- ท่าทางในการนั่งที่ไม่เหมาะสม
วิธีช่วยป้องกันหรือหลีกเลี่ยงภาวะ computer vision syndrome ได้แก่
1. กะพริบตาให้บ่อยขึ้น
- การนั่งจ้องหน้าจอนาน ๆ ไม่ว่าจะเป็นจอคอมพิวเตอร์หรือสมาร์ทโฟน จะทำให้อัตราการกะพริบตาลดลงจาก 20 – 22 ครั้ง/นาที เหลือเพียง 6 – 8 ครั้ง/นาทีเท่านั้น
- ซึ่งอาจทำให้ตาแห้งได้ ดังนั้น จึงควรกะพริบตาให้บ่อยขึ้น หรืออาจใช้น้ำตาเทียม เพื่อช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้ดวงตาก็ได้เช่นกัน
2. ปรับความสว่างในห้องทำงานและหน้าจอคอมพิวเตอร์ให้เหมาะสม
- โดยลดแสงสว่างจากภายนอก หรือแสงจากในห้องทำงานที่สว่างมากเกินไป
- ซึ่งอาจทำให้เกิดแสงสะท้อนที่จอคอมพิวเตอร์ ทำให้ไม่สบายตาได้
- ปรับเพิ่มความแตกต่างของสีระหว่างตัวอักษรกับพื้นจอภาพ เพื่อให้อ่านง่าย และปรับความสว่างของหน้าจอให้สบายตา
3. พักสายตาทุก ๆ ชั่วโมง
- โดยยึดหลัก 20 – 20 – 20
- คือ การละสายตาจากหน้าจอ และมองออกไปไกลระยะ 20 ฟุตทุก ๆ 20 นาที เป็นเวลา 20 วินาทีต่อครั้ง
- จะช่วยลดอาการตาล้าได้
4. ปรับระดับการมองจอคอมพิวเตอร์ให้เหมาะสม
- โดยจุดศูนย์กลางของจอคอมพิวเตอร์ควรห่างจากตาประมาณ 20-28 นิ้ว
- และต่ำลงจากระดับสายตาประมาณ 4-5นิ้ว
5.ใส่แว่นแก้ไขสายตาที่เหมาะสม
- เนื่องจาก การมีสายตาที่ผิดปกติ แล้วต้องเพ่งหน้าจอนาน ๆ อาจทำให้ปวดกระบอกตาได้
- ดังนั้น ในสถานการณ์ที่ต้องทำงานอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ตลอดทั้งวัน ประชุมออนไลน์จนดึกดื่น และไม่รู้ว่าจะต้องอยู่ที่บ้านไปอีกนานเท่าไหร่ แนะนำดูแลสุขภาพตัวเอง จัดตารางการทำงาน และชีวิตส่วนตัวให้เหมาะสม
- หากรู้สึกว่าดวงตามีอาการผิดปกติ ควรปรึกษาจักษุแพทย์ ตรวจเช็คดวงตา เพื่อที่จะได้รับการรักษาได้ทันท่วงที
ข้อมูล : กรมการแพทย์
ข่าวที่เกี่ยวข้อง