ไขข้อสงสัย ยา PrEP กับ ยา PEP กินตอนไหน ลดเสี่ยงติดเชื้อ "HIV" ได้ดีที่สุด อย.มีคำตอบให้แล้ว
ข่าวที่น่าสนใจ
ทำความเข้าใจยาต้านไวรัส “HIV” ระหว่างยา PrEP กับ PEP ต่างกันอย่างไร
PrEP หรือ Pre-Exposure Prophylaxis (ยาต้านก่อนเสี่ยง)
- เป็นยาต้านไวรัสสำหรับผู้ที่ยังไม่ติดเชื้อเอชไอวี
- ใช้สำหรับป้องกันการติดเชื้อเอชไอวีในผู้ที่มีภาวะสุ่มเสี่ยง หรือรับประทานเพื่อลดความเสี่ยงก่อนการติดเชื้อ เช่น
- ในผู้ที่มีเพศสัมพันธ์กับคู่นอนที่ไม่ทราบผลเลือดหรือมีคู่นอนหลายคน
- ผู้ที่คู่นอนเป็นผู้ติดเชื้อ H IV
- ใช้เข็มฉีดยาร่วมกับผู้อื่น
- มีโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา เป็นต้น
- แต่ไม่สามารถป้องกันการตั้งครรภ์ และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่น ๆ ได้
- ประสิทธิภาพของยา PrEP จะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับการรับประทานยา โดยต้องรับประทานยาทุกวัน วันละ 1 เม็ด ให้ตรงเวลา
- รวมถึงป้องกันการติดเชื้อโดยใช้วิธีอื่นร่วมด้วย เช่น การใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์ การลดจำนวนคู่นอน เป็นต้น
- หลังจากใช้ยา PrEP ควรตรวจเลือด เพื่อติดตามประสิทธิภาพของยาและตรวจหาการติดเชื้อเอชไอวีทุก ๆ 3 เดือน สำหรับระยะเวลาการใช้ยาและการหยุดยาขึ้นอยู่กับดุลพินิจของแพทย์
PEP หรือ Post exposure prophylaxis (ยาต้านฉุกเฉิน)
- ใช้รับประทานหลังจากมีความเสี่ยงได้รับเชื้อเอชไอวีให้ไวที่สุดหรือภายใน 72 ชม. เช่น
- การมีเพศสัมพันธ์แบบไม่ได้ป้องกัน
- ถูกข่มขืน
- สัมผัสเลือดหรือได้รับสารคัดหลั่งจากผู้ติดเชื้อ H IV
- บุคลากรทางการแพทย์ที่เกิดอุบัติเหตุ มีดบาด เข็มตำในโรงพยาบาลจากการทำหัตถการให้คนไข้ เป็นต้น
- แต่หากเกินกว่า 72 ชม. การใช้ยา PEP จะไม่เกิดประโยชน์ในการป้องกันการติดเชื้อ จึงไม่จำเป็นต้องรับยา
- แต่ควรมาตรวจเลือดหลังจากวันที่มีความเสี่ยงอย่างน้อย 14-21 วัน
- ยา PEP ต้องรับประทานจนครบ 28 วันตามที่แพทย์กำหนด นอกจากนี้ ยังต้องมาตรวจหาเชื้อซ้ำหลังผ่านไป 1 เดือนและ 3 เดือน
- ระหว่างนี้ผู้กินยาต้องใช้ถุงยางอนามัยในการมีเพศสัมพันธ์ทุกครั้ง หากกินไม่ครบประสิทธิภาพการป้องกันจะลดลง และจะต้องมีการตรวจหาเชื้อ H IV ซ้ำหลังรับประทานยาครบ
เชื้อเอชไอวีสามารถป้องกันได้ หากรู้ตัวว่ามีความเสี่ยง ควรรีบปรึกษาแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยและรับยาได้ที่สถานบริการของรัฐ เอกชน หรือคลินิกเฉพาะทางที่มีแพทย์ประจำ เนื่องจาก การใช้ยาต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์ และมีเงื่อนไขว่าผู้นั้นจะต้องผ่านการตรวจเลือดแล้วพบว่ามีผล “HIV” เป็นลบ รวมถึงการตรวจไวรัสตับอักเสบบี และตรวจการทำงานของตับและไตร่วมด้วย เพื่อป้องกันผลข้างเคียงจากยา
ข้อมูล : องค์การอาหารและยา (อย.)
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
-