เมื่อวันที่ 7 ส.ค. ที่กระทรวงสาธารณสุข นพ.จักรรัฐ พิทยาวงศ์อานนท์ ผอ.กองระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค แถลงสถานการณ์วัคซีนโควิด-19 ว่า สถานการณ์การแพร่ระบาดทั่วโลกขณะนี้อยู่ในแนวโน้มขาขึ้น พบผู้ติดเชื้อรายใหม่ถึง 6.6 แสนคน เสียชีวิต 9,923 คน คิดเป็น 2.12% โดยภาพรวมพบการระบาดสายพันธุ์เดลต้าในวงกว้าง และตอนนี้ทั่วโลกฉีดไปทั้งหมดแล้ว 4,320 ล้านโด๊ส ดังนั้นยังคงมีความจำเป็นที่เราต้องเร่งฉีดวัคซีน โดยเฉพาะในกลุ่มผู้สูงอายุและผู้ป่วยกลุ่มเสี่ยง สำหรับประเทศไทยสถานการณ์ค่อนข้างมีสัญญาณเชิงบวก โดยพบผู้ป่วยที่รักษาหายและกลับบ้านแล้ว 21,108 ราย ซึ่งใกล้เคียงผู้ป่วยรายใหม่วันนี้ 21,839 ราย แสดงว่าระบบบริการพยายามเต็มที่ที่ทำให้ผู้ป่วยทุกรายที่อาการหนักได้รับการรักษาเร็วขึ้น หากสามารถหมุนเตียงเร็วขึ้นก็จะทำให้การรักษาครบถ้วนยิ่งขึ้น
นพ.จักรรัฐ กล่าวอีกว่า ทั้งนี้กลุ่มหายป่วยอยู่ในรพ.สนาม และรพ.ประมาณ 18,834 ราย และหายป่วยที่อยู่ในเรือนจำ 455 ราย ส่วนหายป่วยที่อยู่ในระบบการรักษาที่บ้าน HI และในชุมชน CI มี 1,819 รายในวันนี้ ส่วนผู้ที่กำลังรักษาโดยรวมอยู่ที่ 213,444 ราย และยังมีผู้ป่วยอักเสบค่อนข้างมาก 5,159 ราย โดยเฉพาะผู้สูงอายุและผู้ป่วยโรคเรื้อรัง ในจำนวนนี้ใส่ท่อช่วยหายใจ 1,060 ราย มียอดผู้เสียชีวิต 212 ราย สะสสม 5,972 ราย ทั้งนี้ข้อมูลการตรวจแอนติเจน เทสต์ คิท หรือ ATK ซึ่งเป็นการตรวจแบบเร็วทราบผลใน 30 นาที พบว่า ในกรุงเทพฯ สัดส่วนคนที่ได้รับการตรวจมีกี่เปอร์เซ็นต์ เห็นว่าช่วงนี้สถานการณ์ติดเชื้อคงตัวเฉลี่ย 10% หมายความว่าตรวจ 100 คนจะมีผลบวกหรือติดเชื้อประมาณ 10 คน หากสถานการณ์แบบนี้ และเปอร์เซ็นต์ติดเชื้อลดลงก็จะเป็นสัญญาณที่ดีว่า การฉีดวัคซีนเริ่มมีประสิทธิภาพมากขึ้น และลดการติดเชื้อจากครอบครัวหนึ่งไปสู่ครอบครัวหนึ่ง หรือลดการติดเชื้อในบ้านได้มาก อย่างไรก็ตาม สำหรับการตรวจ ATK ที่ผลเป็นบวกทั่วประเทศพบ 6,026 ราย
นพ.จักรรัฐ กล่าวว่า ขณะที่ผู้เสียชีวิตในวันนี้ 212 คน อยู่ที่กรุงเทพฯ 99 ราย ปริมณฑล 46 ราย ภาคใต้ 18 ราย ภาคอีสาน 13 ราย ภาคเหนือ 11 ราย และภาคกลาง 25 ราย เป็นคนไทย 207 ราย เมียนมา 2 ราย จีน 2 รายและอินเดีย 1 ราย เป็นผู้ชาย 116 ราย เป็นหญิง 96 รายค่าอายุเฉลี่ย 67 ปี โดยในจำนวนผู้เสียชีวิตเป็นผู้สูงอายุอายุ 60 ปีขึ้นไปถึงร้อยละ 67 หรือ 141 ราย ผู้ที่อายุต่ำกว่า 60ปี มีโรคเรื้อรัง 55 ราย หรือคิดเป็นร้อยละ 26 ขณะที่ 24 รายไม่มีประวัติโรคเรื้อรัง คิดเป็นร้อยละ 6 และมีหญิงตั้งครรภ์เสียชีวิต 2 ราย สำหรับผู้เสียชีวิตมี172 รายไม่เคยรับวัคซีน คิดเป็นร้อยละ 89.58 ขณะที่ได้รับวัคซีนเข็มที่หนึ่ง 19 ราย และมีผู้ที่ได้รับวัคซีนครบเข็มที่สองของซิโนแวค เสียชีวิต 1 ราย
นพ.จักรรัฐ กล่าวต่อว่า สำหรับตัวเลขคาดการณ์จากโมเดลการติดเชื้อและเสียชีวิตจากโควิด หากเราเริ่มล็อกดาวน์เมื่อวันที่ 20 ก.ค.-31 ส.ค. ประมาณ 1 เดือนกว่า มีประสิทธิภาพ 20% และอีกตัวเลขคาดการณ์ล็อกดาวน์มีประสิทธิภาพ 25% นาน 2 เดือน ประกอบกับเร่งฉีดวัคซีนผู้สูงอายุถึงเป้าหมายใน 1-2 เดือนก็จะช่วยให้ผู้ติดเชื้อรายใหม่ลดลงเหลือ 12,000 ราย ขณะที่สถานการณ์จริงที่เราเจอติดเชื้อประมาณ 2 หมื่นราย แสดงว่าสถานการณ์ล็อกดาวน์เรามีประสิทธิภาพตรง 20% ดังนั้น การเร่งฉีดวัคซีนตอนนี้ยังไม่ออกผล จนกว่าจะฉีดจนครบถ้วนได้มากกว่านี้ ดังนั้นต้องปรับให้ได้ประสิทธิภาพ 25% มากที่สุด เพื่อลดความรุนแรงของโรคให้ได้ที่สุด
นพ.จักรรัฐ กล่าวว่า ขณะนี้ สธ.ร่วมกับหลายหน่วยงาน คือ การค้นหาผู้ติดเชื้อด้วย ATK และต้องมีทีม CCR ในการลงไปดูแลผู้ป่วยที่บ้าน และการเดินทางไปรักษาที่บ้าน ที่ภูมิลำเนา ต้องมีศูนย์พักคอยคอยจัดการระบบเตียงปลายทางให้ชัดเจนขึ้น ขณะที่สถานการณ์ผู้เสียชีวิต ตั้งธงไว้ว่าผู้สูงอายุในพื้นที่สีแดงเข้ม 29 จังหวัดต้องได้รับการฉีดวัคซีนอย่างน้อย 70% ภายในสิ้นเดือนนี้ ขณะที่พื้นที่จังหวัดอื่นๆต้องฉีดวัคซีนสัตว์ให้ผู้สูงอายุอย่างน้อย 50 เปอร์เซ็นต์ขึ้นไป
เมื่อถามว่าสถานการณ์ตัวเลขผู้ติดเชื้อต่างจังหวัดที่เคยคาดการณ์ว่าจะถึงจุดพีค ภายใน 2 สัปดาห์ ผอ.กองระบาดวิทยา กล่าวว่า ในขณะนี้มียังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ใน3 กลุ่มคือ 1.ผู้ที่ติดเชื้อที่เดินทางจากกรุงเทพฯ หรือในพื้นที่ระบาด โดยเฉพาะภาคอีสานและภาคเหนือตอนล่างที่รับผู้ติดเชื้อกลับไปรักษาต่อเนื่อง 2.กลุ่มผู้ที่เดินทางกลับไปก่อนหน้านี้และไม่ได้มีการประสานกับโรงพยาบาล ซึ่งอาจติดเชื้อแล้วแต่ไม่มีอาการและไปแพร่ต่อให้กับบุคคลที่บ้าน และ3.กลุ่มผู้ที่อยู่ในจังหวัดเองที่มีสถานประกอบการหรือโรงงานค่อนข้างมาก ดังนั้นต้องคุม 3 กลุ่มนี้ให้ได้ สถานการณ์ในช่วง 2 สัปดาห์ข้างหน้าที่ก่อนหน้านี้คาดการณ์ว่าจะถึงจุดพีคสุด แต่หากมีการควบคุมและป้องกันตัวเองได้ดีดูแลไม่ให้คนในครอบครัวติดเชื้อได้ก็จะไม่เห็นสถานการณ์เช่นนั้น
ด้านนพ.โสภณ เอี่ยมศิริถาวร รองอธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวถึงความคืบหน้าการกระจายวัคซีนไฟเซอร์ ที่ได้รับการบริจาคจากสหรัฐอเมริกา จำนวน 1.5 ล้านโดส ว่า ได้การกระจายวัคซีนดังกล่าว เพื่อฉีดให้บุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุขด้านหน้า รวมถึงประชาชนกลุ่มเสี่ยง ตั้งแต่วันที่ 4-6 ส.ค โดยส่งวัคซีนไปทั่วประเทศทั้ง 77 จังหวัด 170 โรงพยาบาลได้รับวัคซีนเรียบร้อยแล้วและหลายโรงพยาบาลเริ่มฉีดแล้ว โดยเป็นจำนวนวัคซีนที่ส่งออกไปในล็อตแรกกว่า 4.6 แสนโดส ซึ่งผลการฉีดไม่พบอาการไม่พึงประสงค์ที่รุนแรง
นพ.โสภณ กล่าวอีกว่า อย่างไรก็ตามมีข่าวปลอมว่า วัคซีนที่รพ.สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช จ.ตาก หายไปนั้น ยืนยันว่าไม่จริง ซึ่งเมื่อตรวจสอบแล้วพบว่าวัคซีนอยู่ในสภาพที่ครบถ้วนและเตรียมฉีดให้กับบุคลากรในวันนี้ ยืนยันว่าทุกอย่างมีการดูแลและตรวจสอบอย่างดี นอกจากนี้ยังมีข่าวปลอมที่ระบุว่า กระทรวงสาธารณสุขมีการส่งวัคซีนไฟเซอร์ให้กับศูนย์ที่นพ.ยง ภู่วรวรรณ เป็นหัวหน้า ยืนยันว่าไม่เป็นความจริง ไม่มีการส่งไฟเซอร์ไปให้ตามข่าว
นพ.โสภณ กล่าวว่า ขณะนี้ประเทศไทยฉีดวัคซีนแล้วจำนวน 20.2 ล้านโด๊ส โดยมีอัตราการฉีดที่เร็วขึ้นในช่วงหลัง ซึ่งเป็นผู้ได้รับวัคซีนเข็มที่ 1 แล้ว 15.7 ล้านโด๊ส ส่วนฉีดเข็มที่ 2 แล้ว 4.4 ล้านโด๊ส และในช่วง 3 วันที่ผ่านมาได้มีจำนวนผู้ได้รับวัคซีนเข็ม 3 แล้วกว่าแสนราย การฉีดวัคซีนในขณะนี้ยังคงดำเนินการได้เป็นไปตามแผนและในเดือนส.ค.จะมีวัคซีนทุกชนิดรวมกันมากกว่า 10 ล้านโด๊ส จึงถือเป็นช่วงเดือนสำคัญในการให้วัคซีน ส่วนวัคซีนบริจาคแอสตราเซเนกาที่มาจำนวน 4 แสนนั้น ภายหลังกระจายไปยังจังหวัดต่างๆ คาดว่าใช้เวลาสัปดาห์เดียวฉีดหมดได้ นอกจากนี้ในเดือนนี้วัคซีนแอสตราเซเนกาแจ้งว่าจะจัดส่งให้ได้อีกประมาณ 5.4 ล้านโด๊ส เพื่อนำไปฉีดในพื้นที่ต่างๆ