นี่มันสนามการเมือง หรือ สนามรบทำศึกสงคราม แย่งชิงไพร่พล ระดมสรรพกำลัง เตรียมพร้อมสู้ในศึกเลือกตั้งครั้งใหญ่ในอีกไม่กี่วันที่กำลังจะมาถึง ? เมื่อเกิดสงครามวาทะกรรม สาดน้ำลาย ป้ายข้อมูลกันคุกรุ่นตลบอบอวลไปทั้งประเทศ ในบางเคสถึงกับร้อนระอุไฟรุกโชน ถูกหยิบยกมาเป็นข่าวดราม่าโดนกันถ้วนหน้าจริงๆ โดยเฉพาะประเด็น แย่งชิงขุนพล โดยใช้พลังดูด พลังดึง พลังแจกกล้วย ด้วยการใช้ยุทธวิธี “ตักปลาในบ่อเพื่อน” เล่นเอาบางพรรคถึงกับสั่นสะเทือนเพราะถูกพรรคคู่ต่อสู้กว้านซื้อตัวจ้าละหวั่น ….
เจ็บสุดเบอร์แรง แซงหน้าทุกเคส คงต้องยกให้ วาทะกรรมเชือดเฉือนใจของ “นายหัวชวน หลีกภัย” ที่งัดเอาข้อเท็จจริงขึ้นมาพูดแบบไม่ไว้หน้าใคร พาดพิงถึงพฤติกรรมของนักการเมืองในพรรคประชาธิปัตย์ ที่ย้ายพรรคไปแล้วคนนึง โดยบางช่วงบางตอน ระบุว่า “ผมไปพบเพื่อนนักการเมืองที่ย้ายพรรค ไปเยี่ยมท่านที่โรงพยาบาล ท่านโทรหาผมว่า เมื่อคุณชวนกลับแล้วผมกอดภรรยาร้องไห้ จะออกจากพรรคได้ยังไง จะบอกคุณชวนยังไง วันนั้นบอกไม่ย้าย ท่านบอกผมว่า เค้าให้ท่าน 200 ล้าน ให้กวาดจังหวัดนั้น จะให้เป็นรัฐมนตรี ท่านก็กลับมา เราก็หมดห่วง สุดท้ายไปอีกพรรคหนึ่ง ได้ข่าวว่านายกฯ ดึงตัวไป นี่ไม่ทราบนะ ไม่ได้ถามนายกฯ”
ถึงไม่เอ่ยชื่อฟาดตรง ๆ แต่ก็คงเดาไม่ยาก ว่านักการเมืองที่ “นายหัวชวน” พูดถึงเป็นใคร เพราะหันไปทางไหนก็ได้ยินเค้าพูดกันไปทั่ว แบบไม่ต้องกลัวว่าข้อมูลความลับจะรั่วไหล โดยเฉพาะเรื่องราวของ ”นักการเมืองคนนี้” ที่เคยเป็น ส.ส. สังกัดในพรรค และอยู่ในจังหวัดที่พรรคประชาธิปัตย์ เคยชนะเลือกตั้งยกจังหวัดในพรรค แต่สุดท้ายกลับมักใหญ่ใฝ่สูง หลังถูกยื่นข้อเสนอจากพรรคคู่แข่งให้ไปร่วมหัวจมท้ายกันด้วยจำนวนเงินที่สูงลิบลิ่ว จึงเป็นที่มาของการ ขอต่อรองกับพรรคต้นสังกัด ถ้าผู้มีอำนาจในพรรคจัดตามข้อเสนอให้ ก็จะไม่ย้ายไปตามที่ถูกชักชวน