“บีทีเอส” เชื่อโดนกล่าวหา โยงปม “รถไฟฟ้าสีส้ม” โต้รัวป.ป.ช. คดีเก่าจบทำไมถูกรื้อใหม่

“บีทีเอส” เชื่อโดนกล่าวหา โยงปม “รถไฟฟ้าสีส้ม” โต้รัวป.ป.ช. คดีเก่าจบทำไมถูกรื้อใหม่

วันนี้ (14 มีนาคม 2566) นายคีรี กาญจนพาสน์ ประธานกรรมการ พร้อมด้วย นายสุรพงษ์ เลาหะอัญญา กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ และ พ.ต.อ. สุชาติ วงศ์อนันต์ชัย ที่ปรึกษาประธานกรรมการ บริษัทระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือรถไฟฟ้าบีทีเอส ได้แถลงข่าวชี้แจงข้อเท็จจริงกรณี ที่คณะกรรมการป้องกัน และปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือ คณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้แจ้งข้อกล่าวหาหม่อมราชวงศ์ สุขุมพันธุ์ บริพัตร ขณะดำรงตำแหน่งผู้ว่ากรุงเทพมหานครและพวกรวม 13 คน

 

 

 

 

 

 

กรณีว่าจ้าง BTSC เดินรถไฟฟ้าสายสีเขียวส่วนต่อขยาย3 เส้นทาง ไปจนถึงปี 2585 เป็นการหลีกเลี่ยง/ ไม่ปฏิบัติตามพ.ร.บ.ว่าด้วยการให้เอกชนเข้าร่วมงานหรือดำเนินการในกิจการของรัฐพ.ศ. 2535 พรบ.ว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐพ.ศ. 2542 และเอื้อประโยชน์ให้แก่ BTSC รายเดียว ว่า ข้อกล่าวหาที่เกิดขึ้นได้ส่งผลกระทบกับความเชื่อมั่นของบริษัทฯ อย่างมาก โดยเป็นการกล่าวหาในเรื่องกระทำการทุจริตในสัญญาการให้บริการเดินรถ และซ่อมบำรุงโครงการทั้งหมด 3 เส้นทาง ได้แก่ ส่วนต่อขยายสายสุขุมวิท สถานีอ่อนนุช-แบริ่ง , สายสีลม สถานีสะพานตากสิน-วงเวียนใหญ่ และการต่อสัญญาว่าจ้างเดินรถไฟฟ้าในเส้นทางสถานีหมอชิต-อ่อนนุช และสนามกีฬาแห่งชาติ-สะพานตากสิน ซึ่งจะหมดสัญญาสัมปทานในปี 2572 ออกไปอีก 13 ปี เพื่อให้ทั้ง 3 เส้นทางไปสิ้นสุดพร้อมกันในปี 2585

 

 

นายสุรพงษ์ กล่าวว่า กรณีที่เกิดขึ้นยังคงเป็นเพียงการแจ้งข้อกล่าวหาจากคณะกรรมการ ป.ป.ช. เท่านั้น และบีทีเอสยังไม่ถูกฟ้องร้องหรือดำเนินคดีแต่อย่างใด และมีสิทธิที่จะคัดค้านเพื่อแก้ไขข้อกล่าวหาตามกระบวนการของกฎหมาย และทางบริษัทฯ ยินดีให้ความร่วมมือตามกระบวนการทางกฎหมายทุกขั้นตอน โดยบริษัทฯ ยืนยันว่าการทำสัญญาจ้างเดินรถไฟฟ้าสายสีเขียวส่วนต่อขยายได้ดำเนินการอย่างถูกต้องตามกฎหมาย และปราศจากการฮั้วประมูลใด ๆ

 

ทั้งนี้บริษัทฯ ทราบว่าก่อนการจ้างในครั้งนี้ ทาง กทม.ได้มีการหารือไปยังคณะกรรมการกฤษฎีกาในปี 2550 ซึ่งคณะกรรมการกฤษฎีกาได้วินิจฉัยโดยสรุปว่า การที่กรุงเทพมหานคร มอบหมายให้ บริษัทกรุงเทพธนาคมดำเนินโครงการ และบริษัทกรุงเทพธนาคม มาว่าจ้างเอกชนเดินรถ โดยได้รับค่าจ้างเป็นการตอบแทน มิใช่การร่วมลงทุนกับเอกชน นอกจากนั้นการทำสัญญาจ้างเดินรถไฟฟ้าสายสีเขียวส่วนต่อขยายนี้ได้ผ่านการสอบสวน จากกรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) ในปี 2555 แล้ว โดยหลังสิ้นสุดการสอบสวนในปี 2556 กรมสอบสวนคดีพิเศษและสำนักงานอัยการสูงสุดได้เห็นควรไม่ฟ้องบีทีเอส

 

 

 

นายคีรี กล่าวต่อว่า จากข่าวที่ปรากฏทางสื่อมวลชนว่า ป.ป.ช.แจ้งข้อกล่าวหาอดีตผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครกับพวก 13 คน ซึ่งปรากฏชื่อผมและบริษัทฯ ในความผิดสนับสนุนเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่ไม่ชอบและความผิดฮั้วประมูล โดยในเนื้อข่าวมีการนำเสนอภาพเอกสารราชการของ ป.ป.ช.และอ้างว่ามาจากแหล่งข่าวระดับสูงของ ป.ป.ช.

 

 

วันนี้จึงขอใช้พื้นที่สื่อแถลงข้อเท็จจริงและทำความเข้าใจว่าเรื่องราวดังกล่าวการดำเนินคดีในเรื่องนี้ของ ป.ป.ช.ดำเนินการมาตั้งแต่ปี 2555 จากการที่ ส.ส.ท่านหนึ่งได้ร้องเรียนต่อกรมสอบสวนคดีพิเศษและ ป.ป.ช. กล่าวหากรณีที่ กทม.ทำสัญญาจ้างบีทีเอสเดินรถส่วนต่อขยายส่วนที่ 1 โดยเบื้องต้นกล่าวหาว่า กทม.ไม่มีอำนาจดำเนินการ เพราะตามประกาศคณะปฏิวัติกำหนดให้เป็นอำนาจของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย กรมสอบสวนคดีพิเศษในเวลานั้นได้ทำการสอบสวนเสร็จสิ้น และมีความเห็นสั่งไม่ฟ้องผมและบริษัทฯ เพราะจากพยานหลักฐานไม่มีส่วนใดเกี่ยวข้องกับผม และบริษัทเลย และพนักงานอัยการก็มีความเห็นไม่สั่งฟ้องไปแล้ว

“ส่วนคดีที่อยู่กับ ป.ป.ช. ผมไม่ทราบเรื่อง เพราะไม่เคยแจ้ง หรือเรียกไปให้ข้อมูล จนกระทั่งในช่วงเวลาที่ผมได้แสดงตัวต่อสู้กับเรื่องการประมูลรถไฟฟ้าสายสีส้มที่ไม่ถูกต้อง ผมได้รับทราบข้อมูลจากคุณสุรพงษ์ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ของบริษัทฯ ว่า ป.ป.ช. ได้มีหนังสือเชิญไปให้ข้อมูลเรื่องหุ้นของบีทีเอสที่มีราคาเปลี่ยนแปลงไปในช่วงเวลาที่มีการทำสัญญาว่าจ้างเดินรถ ซึ่งเรื่องนี้ได้ชี้แจงกับ ป.ป.ช. แล้วว่า ราคาที่เปลี่ยนแปลงไป เนื่องจากบริษัทฯ ได้มีการรวมหุ้น นี่คือเรื่องเดียวที่บริษัท

โดยคุณสุรพงษ์ ได้ให้ข้อมูลกับ ป.ป.ช. และเราก็เริ่มมีความรู้สึกแปลก ๆ ว่า เรื่องนี้มันจบไปแล้วไม่ใช่หรือ แล้วทำไมยังมีการสอบถามเรื่องนี้อีก จนกระทั่งได้มีหนังสือแจ้งข้อกล่าวหามาที่ผมและผู้เกี่ยวข้อง”

 

ข่าวที่น่าสนใจ

นายคีรี ระบุว่า ในความรู้สึก ก็เกิดความแปลกใจ แต่ก็ไม่เหนือความคาดหมาย เพราะทราบว่า เรื่องนี้มีความพยายามที่จะดึงเราเข้าไปร่วมถูกดำเนินคดีด้วย แต่การดำเนินการของ ป.ป.ช.ในเรื่องนี้ มีหลายเรื่องที่สร้างความสงสัย เพราะบริษัทฯ และผมเป็นนักลงทุน เป็นเอกชนที่รับจ้างทำงานบริการสาธารณะแทนรัฐบาล เราไม่ได้เข้าไปเกี่ยวข้องหรือมีอำนาจหน้าที่ในการทำงานของเจ้าหน้าที่รัฐ แต่วันนี้เราถูกแจ้งข้อกล่าวหาว่า ร่วมกับเจ้าหน้าที่ในการปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ซึ่งในบันทึกการแจ้งข้อกล่าวหา ฝ่ายกฎหมายอ่านตั้งแต่บรรทัดแรกจนบรรทัดสุดท้าย ต้องเรียนว่า เรายังไม่ทราบเลยว่า เราไปร่วมกระทำความผิดกับใคร ที่ไหน เมื่อไร อย่างไร และมีพยานหลักฐานใดที่ยืนยันว่าเราไปกระทำความผิด

 

ดังนั้น จึงได้พยายามค้นหาความจริง และพบว่าเรื่องนี้มีการตั้งอนุกรรมการไต่สวนมาหลายปีแล้ว ซึ่งมีการสอบปากคำบุคคล และรวบรวมพยานหลักฐานจนเสร็จสิ้นแล้ว และนำเสนอต่อคณะกรรมการ ป.ป.ช. โดยมีความเห็นว่า ไม่มีความผิดเห็นควรให้ยุติเรื่อง แต่มีอำนาจบางอย่าง ไม่ต้องการให้เรื่องนี้จบ และต้องดึงบีทีเอสเข้าไปสู่ขั้นตอนการแจ้งข้อกล่าวหา เพื่อเอาชนักปักหลังผม ให้ผมหยุดเรื่องสายสีส้ม แต่คนอย่างผมไม่เคยยอมเรื่องที่ไม่ถูกต้องอยู่แล้ว เรื่องเลยมาจบแบบนี้

 

จึงอยากให้ทุกท่านเห็นภาพการต่อสู้และผลของการต่อสู้กับความไม่ถูกต้องของผม ผมดำเนินธุรกิจในประเทศไทยมาหลายสิบปี ผมเป็นนักธุรกิจ เป็นนักลงทุน ซึ่งกำไรที่ผมได้รับมา ผมไม่ได้เอาเปรียบประเทศ ผมตอบแทนคืนสู่ประเทศและสังคม ผมประมูลต่อสู้ด้วยตัวเลขที่แฟร์ๆ ไม่มีการฮั้วกับใคร

 

เรื่องนี้มันมีขบวนการที่ต้องการให้บีทีเอสได้รับความเสียหายถึงขนาดให้ล้มละลายเลย เริ่มตั้งแต่การไม่จ่ายเงินค่าจ้างเดินรถ และค่าระบบให้บีทีเอสจำนวนกว่า 40,000 ล้านบาท จนบีทีเอสต้องฟ้องศาลบังคับให้ชำระหนี้และศาลปกครองกลางได้พิพากษาแล้วให้ชำระหนี้ แต่จนถึงวันนี้ก็ยังไม่มีการชำระ และปล่อยให้พอกพูนมาเป็นจำนวนเกือบ 50,000 ล้านบาทแล้ว หลังจากนั้นก็เอาเรื่องนี้มาเล่นงานเอกชน โดยเฉพาะการสมคบกันเอาข้อมูลของ ป.ป.ช.มาออกข่าว เพื่อหวังให้เกิดผลกระทบต่อธุรกิจและความเชื่อมั่นของบีทีเอส และก็เป็นไปอย่างที่ต้องการ คือ เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา ราคาหุ้นบีทีเอสเราร่วงลงติดฟลอร์ แต่ด้วยความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่เข้าใจเรา ทำให้ราคาขยับขึ้นมายืนที่ใกล้เคียงราคาเดิม จึงอยากถามว่า การที่ผมมาต่อสู้เพื่อความถูกต้องในโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม พวกคุณเล่นงานผมถึงขนาดนี้เลยหรือ

 

 

 

 

ทั้งนี้ข้อมูลของ ป.ป.ช.หลุดออกมายังสื่อมวลชนได้อย่างไร ทั้ง ๆ ที่ เป็นข้อมูลในสำนวน แม้กระทั่งหนังสือแจ้งข้อกล่าวหาให้ผม ยังตีตรา “ลับ” แล้วสื่อเอาข้อมูลในสำนวนออกมาเปิดเผยได้อย่างไร แสดงให้เห็นว่า มันมีขบวนการจ้องทำลายบีทีเอสอยู่จริง แล้วเรื่องแบบนี้ ป.ป.ช.ท่านช่วยตอบผมหน่อยว่า เอกสารของ ป.ป.ช.ท่านเอามามอบให้สื่อเพื่ออะไร ต้องการอะไร ขณะเดียวกันบันทึกข้อกล่าวหาดังกล่าว ไม่ได้ปรากฏรายละเอียดซึ่งเป็นประเด็นสำคัญแจ้งให้ผู้ถูกกล่าวหาทราบ ยืนยันไม่ได้ดำเนินการฝ่าฝืนกฎหมายหรือดำเนินการนอกกฎหมายแต่เป็นการดำเนินการอย่างตรงไปตรงมา

 

“ผมไม่ได้กลัวการต่อสู้ทางคดี เพราะผมมั่นใจการทำงานของพนักงานทุกคนว่า ทำงานบนพื้นฐานความถูกต้อง ชอบธรรม แต่ที่ทำกันอยู่เวลานี้คือ การใช้ยุทธวิธีแบบสกปรกหรือไม่ ประธาน ป.ป.ช.ต้องหาคนปล่อยข้อมูลนี้ออกมาว่า เป็นใคร มีจุดประสงค์อะไร มิเช่นนั้นผมไม่สามารถเชื่อมั่นในการทำหน้าที่ของท่านได้ และจะให้ผมยอมรับให้คณะกรรมการชุดนี้สอบสวนผมได้อย่างไร ผมคงยอมรับไม่ได้ ”

ถ้าทำกันอย่างตรงไปตรงมา ผมไม่มีความกังวล เพราะไม่ได้ทำอะไรผิด ไม่ได้สมคบกับใคร ไปทำเรื่องไม่ถูกต้อง ไม่เคยสมคบกับใครไปฮั้วประมูลงาน แต่จากพฤติกรรมที่เรียนมาข้างต้น วันนี้ผมไม่ไว้วางใจ คนที่ทำการสอบสวน ส่วนเรื่องข้อกล่าวหาของ ป.ป.ช.ที่แจ้งมา ได้มอบหมายให้ฝ่ายกฎหมายทำหนังสือสอบถามความชัดเจนการกระทำผิดที่ท่านกล่าวหาผมว่า ไปทำผิดอะไร ที่ไหน เมื่อไร กับใคร ช่วยบอกหน่อย และยืนยันว่าจะเดินรถไฟฟ้าต่อไปไม่ให้ประชาชนเดือดร้อน

 

 

นายคีรี กล่าวว่า จากการที่ไปรับจ้างให้กับกทม.ซึ่งเขาได้สร้างและลงทุนไปเองในส่วนต่อขยาย ซึ่งไม่เกี่ยวกับบริษัทเลย กลับกลายเป็นว่าวันนี้ เป็นปัญหาไม่หมด

ปัญหาแรก ตั้งแต่ผู้ว่าฯ ชัชชาติ มา ยังไม่ยอมจ่ายตังค์ แม้กระทั่งศาลปกครอง ก็ได้ตัดสินแล้วว่าสัญญาถูกต้อง กทม.และเคที ต้องจ่ายเงิน ส่วนที่มีปัญหาก็อุทธรณ์ไป แต่ส่วนที่ไม่มีปัญหา ก็ไม่จ่าย โยนไปมา ถามจริงๆ วันนี้ ค่าใช้จ่ายตรงนี้ไปถึงไหนแล้ว ถามกทม. กทม.ก็บอกอยู่มหาดไทย / รอรัฐบาล ถามรัฐบาลก็บอกว่า รอคำตอบจากกทม. คือเรื่องภายในทั้งนั้น

ผมรู้อย่างเดียวว่า วันไหน ท่านจะจัดการ ท่านจะทำ ผิดตรงไหนบอกมา ส่วนตัวผมกล้าพูด เริ่มมาจากตอนที่ผมไปประมูลสายสีส้ม และเกิดการเปลี่ยน TOR กลางอากาศ จากนั้นมา รมว.คมนาคม ก็เริ่มแย้งมาตลอดของสายสีเขียว ซึ่งใช้ม.44 ในวันนั้นให้ไปจัดการกับหนี้สินโดยวิธีต่อสัมปทาน เพื่อแก้ไขปัญหา วันนี้ สิ่งที่ต้องการคือ เอาเงินมา ท่วมท้นเกือบ 5 หมื่นล้านบาทแล้ว

เมื่อผู้สื่อข่าวถามถึงกรณีที่บีทีเอสต้องการต่อสัญญาไปจนถึงปี 2602 หรือไม่ นายคีรีระบุว่าให้จ่ายเป็นเงินมาถึงเวลาก็ประมูลใหม่เพราะบีทีเอสเดินรถทุกวันมีค่าใช้จ่าย แต่ไม่ได้รับเงิน

เมื่อผู้สื่อข่าวถามถึงกรณีที่หนังสือสัญญาไม่ได้มีลายเซ็นของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย นายคีรีระบุว่าเป็นเรื่องของกทม.เอกชนไม่สามารถก้าวล่วงได้

 

 

นายสุรพงษ์ ได้ระบุถึงภาระหนี้โครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวส่วนต่อขยาย ณ สิ้นเดือนก.พ. เมื่อรวมเงินต้นและดอกเบี้ยจะอยู่มี่ประมาณ 5 หมื่นล้านบาท โดยเป็นหนี้จากค่าจ้างเดินรถทั้ง 2 สายรวมกัน อยู่ที่ 2.7 หมื่นล้านบาท ส่วนหนี้งานติดตั้งระบบไฟฟ้าและเครื่องกลอยู่ที่ประมาณ 22,800 ล้านบาท และที่ผ่านมาทางด้านของกทม. และเคที ไม่เคยเรียกบริษัทเข้าไปหารือหรือเจรจาใดๆ มีการหารือเพียงครั้งเดียวคือ ช่วงที่จะมีการจ้างที่ปรึกษามาทำการเจรจาซึ่งผ่านมาแล้วกว่า 8 เดือนและตอนนี้ทางด้านบริษัทก็ยังรออยู่

นายสุรพงษ์ ระบุว่า ธุรกิจของกลุ่มบีทีเอส ไม่ได้มีแค่รถไฟฟ้าสายสีเขียว ยังมีสีเหลือง และสีชมพู ซึ่งเมื่อเปิดให้บริการก็จะมีเม็ดเงินเข้ามาในปีนร้ และอีก 2 ปี มอเตอร์เวย์ M6 และ M8 จะมีเม็ดเงินเข้ามาเช่นกันจากการติดตั้งระบบ โดยมีเม็ดเงินเข้ามารวมประมาณ 5 พันล้านบาทต่อปี รวมถึงมีเงินคืนจากการลงทุนระบบจัดเก็บค่าโดยสารและด่านเก็บเงิน

 

ขณะที่ พ.ต.อ. สุชาติ ได้ตั้งข้อสังเกตว่า เรื่องนี้มีการไต่สวนมาตั้งแต่ พ.ศ. 2555 จนวันถึงวันนี้ผ่านมาเป็นระยะเวลาถึง 11 ปี ปปช.จึงมีการแจ้งข้อกล่าวหามายังบีทีเอส ซึ่งการใช้ระยะเวลาในการไต่สวนการดำเนินการนานเกินไปหรือไม่ และตนเองยังรับไม่ได้ ที่มีการเอาเอกสารสำนวนสอบสวนมาให้สื่อมวลชน ซึ่งในฐานะพนักงานสอบสวนการเอาเอกสารมาให้สื่อ ทำไม่ได้ เพราะเป็นเอกสารลับ พร้อมตั้งคำถามว่าใครเป็นคนเอาเอกสารออกมาและเอาออกมาเพื่ออะไรพร้อมกับเรียนไปยังปปช.หากเกิดอะไรขึ้นหัวหน้าสอบสวนองค์คณะไต่สวน รวมถึงประธานปปช.ต้องรับผิดชอบ

 

โดยหลังจากนี้ทางด้านของบริษัท จะมีการทำหนังสือไปยังป.ป.ช. สอบถามถึงข้อกล่าวหา โดยทางด้านของป.ป.ช.ได้มีหนังสือให้ทางด้านบริษัทเข้าไปตรวจสอบพยานหลักฐาน ซึ่งไม่ทราบว่าหลักฐานที่เกี่ยวข้องมีอะไรบ้างจึงจะต้องตรวจสอบทานทั้งหมดก่อน เพื่อจะได้ชี้แจงได้อย่างถูกต้อง

 

นายสุชาติ ได้ชี้แจงถึงกรณีที่นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ได้ออกมาเปิดโปงเรื่องการประมูลโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้มว่า ตนเองได้มี การติดตามข่าวมาอย่างตลอดเพราะเกี่ยวข้องกับธุรกิจของบริษัทบีทีเอส โดยเอกสารที่นายชูวิทย์นำเสนอนั้นก็ไม่ได้มีเอกสารใหม่แค่นายชูวิทย์เป็นคนเล่าเรื่องที่ทำให้เรื่องยากกลายเป็นเรื่องง่าย พร้อมยืนยันว่าบีทีเอสไม่ได้จ่ายเงินให้คุณชูวิทย์ในการออกมาเปิดโปงเรื่องนี้

 

 

 

ทั้งนี้ ภายหลังการชี้แจงแล้วเสร็จ นายคีรี พร้อมด้วยสุรพงษ์ ได้เดินทางมายังบริเวณหน้าอาคารบีทีเอส เพื่อให้กำลังใจพนักงานของบีทีเอสที่มีการรวมตัวกันถึง 400 คน และได้เดินทางกลับมาจากการยื่นหนังสือถึงนายกรัฐมนตรีเพื่อ ขอให้มาแก้ไขปัญหาหนี้สิน จากการให้บริการรถไฟฟ้าสายสีเขียวที่ ทำเนียบ และเดินทางไปยังป.ป.ช. เพื่อขอให้ตรวจสอบกรณีเอกสารมติแจ้งข้อกล่าวหาม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ อดีตผู้ว่า กทม. และพวกรวม 13 คน กรณีว่าจ้าง BTSC เดินรถไฟฟ้าสายสีเขียวส่วนต่อขยาย 3 เส้นทางไปจนถึงปี 2585 ซึ่งเป็นเอื้อประโยชน์ให้แก่ BTSC เพียงรายเดียว ที่อยู่ระหว่างการพิจารณาคดีถูกเผยแพร่ต่อสาธารณะ ซึ่งนายคีรี ได้มีการกล่าวขอบคุณ และให้กำลังใจ พนักงาน พร้อมให้พนักงานทุกคนให้บริการผู้โดยสารทุกคนอย่างเต็มความสามารถอีกด้วย

 

 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ข่าวล่าสุด

"ทนายบอสพอล" เผยเป็นไปตามคาด "เอก สายไหม" ถูกจับ จ่อดำเนินคดีหมิ่นประมาท เรียกค่าเสียหาย 100 ล้าน
ศาลออกหมายจับ 'เจ๊หนิง' พร้อมสามีและหลาน ร่วมกันแจ้งความเท็จ 'ภรรยาบิ๊กโจ๊ก'
อิสราเอลถล่มเลบานอนดับครึ่งร้อย
หมายจับ ICC กระทบอิสราเอลอย่างไร
เปิดวิสัยทัศน์ประธานเครือข่ายธุรกิจ Bizclub นครราชสีมาคนใหม่ “กิม ฐิติพรรณ จันทร์ประทักษ์”
เกาหลีใต้ชี้รัสเซียส่งระบบป้องกันภัยทางอากาศให้เกาหลีเหนือ
สหรัฐเมินไฮเปอร์โซนิครัสเซียลั่นไม่หยุดหนุนยูเครน
เมียเอเย่นต์ค้ายาบ้า ร้องถูกตร.รีด 5 แสน แลกปล่อยตัว พ่วงเรียกเก็บเงินรายเดือน
สถาปนาเขตพื้นที่คุ้มครองฯ ชาติพันธุ์ชุมชนชาวเลโต๊ะบาหลิว
ผบ.ตร.สั่งสอบคลิปแก๊งต่างด้าว แสดงพฤติกรรมเย้ยกม. กำชับคุมเข้ม ใช้ยาแรง

ดู LIVE รายการ

X

เราใช้ คุ้กกี้ เพื่อให้ทุกคนได้ประสบการณ์การใช้งานที่ดียิ่งขึ้น