16 มีนาคม 2566 ที่ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติ มิชอบกลางนัดฟังคำพิพากษา คดีหมายเลขดำ อท139/2565ที่ อัยการสูงสุด ยื่นฟ้อง นายวรุธ สุวกร อดีตกรรมการ ผู้จัดการใหญ่ บริษัททีโอที จำกัด (มหาชน) เป็นจำเลย ความผิดต่อ พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ
คดีนี้โจทก์ฟ้องว่าจำเลยซึ่งรักษาการกรรมการ ผู้จัดการใหญ่ และต่อมาได้รับแต่งตั้งให้เป็นกรรมการผู้จัดการใหญ่บริษัททีโอที จำกัด (มหาชน) ผู้เสียหาย จำเลยจึงเป็นพนักงานตาม พรบ.ว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือ หน่วยงานของรัฐฯ และเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐตามพรป.รัฐธรรมนูญว่าด้วย การป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 และ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วย การป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 เมื่อวันที่ 14 ม.ค.2563 ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี ได้มีมติเห็นชอบให้บริษัททีโอที จำกัด (มหาชน) และบริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) ควบรวม กิจการเป็นบริษัทเดียว ตามพรบ.บริษัทมหาชนจำกัด พ.ศ.2535 โดยใช้ชื่อว่า บริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน) มีกระทรวงการคลังเป็นผู้ถือหุ้นทั้งหมด บริษัทโทรคมนาคม แห่งชาติ จํากัด (มหาชน) จึงรับไปทั้งทรัพย์สิน หนี้ สิทธิ หน้าที่ และความรับผิดชอบของบริษัททีโอที จำกัด (มหาชน) ทั้งหมด ตามพ.ร.บ.บริษัทมหาชนจำกัด พ.ศ. 2535 มาตรา 152 และมาตรา 153 และมีฐานะเป็นรัฐวิสาหกิจในสังกัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ตาม พ.ร.บ. วิธีการงบประมาณ พ.ศ. 2502 มาตรา 3 และ พ.ร.บ.วิธีการงบประมาณ พ.ศ. 2561มาตรา 4 ระหว่างวันที่ 30 เม.ย.-13 ต.ค.2551 เวลากลางวันต่อเนื่องและ เกี่ยวพันกัน จําเลยได้รับมอบหมายจากคณะกรรมการบริษัททีโอที จำกัด (มหาชน) ให้ไปเจรจากับ บริษัทสามารถไอ-โมบาย จำกัด (มหาชน) จากกรณีเมื่อวันที่21 ธ.ค.2550 บริษัททีโอที จำกัด (มหาชน) ถูกบริษัทดังกล่าวฟ้องเป็นคดีต่อศาลแพ่ง เรื่องผิดสัญญาและเรียกร้องเงินจํานวน 2,648,771,009 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ7.5ต่อปี ของต้นเงินนับถัดจากวันฟ้อง
จำเลยซึ่งเป็นพนักงานที่มีหน้าที่ซื้อ ทำ จัดการ และ รักษาทรัพย์ของบริษัททีโอที จำกัด (มหาชน) ได้ใช้อำนาจในหน้าที่โดยทุจริต อันเป็นการเสียหายแก่ บริษัททีโอที จำกัด (มหาชน) ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ บริษัททีโอที จํากัด (มหาชน) หรือโดยทุจริตโดย จําเลยอนุมัติจ่ายเงินให้แก่บริษัทสามารถ ไอ-โมบาย จำกัด (มหาชน) เป็นจำนวน 1,485 ล้าน (ไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) ซึ่งเกินกว่า วงเงิน 10 ล้านบาทที่จําเลยมีอำนาจอนุมัติได้ ทั้งไม่เข้าข้อยกเว้นตามคำสั่งคณะกรรมการ บมจ.ทีโอที และจำเลยมิได้ขออนุมัติการจ่ายเงินดังกล่าว จากที่ประชุมคณะกรรมการ บมจ.ทีโอที ทำให้บริษัทสามารถไอ-โมบาย จำกัด (มหาชน) ได้รับชำระเงิน ค่าเสียหายไปเป็นจำนวนเกินกว่าที่บริษัททีโอที จำกัด (มหาชน) ควรจะต้องจ่าย
การกระทำของจำเลย จึงเป็นการใช้อำนาจในหน้าที่โดยทุจริต อันเป็นการเสียหายแก่บริษัททีโอที จำกัด (มหาชน) และเป็น การใช้อำนาจในหน้าที่โดยมิชอบเป็นเหตุให้บริษัททีโอที จำกัด (มหาชน) ได้รับความเสียหาย คิดเป็นเงิน ค่าเสียหายจำนวน 525,370,000 บาท เหตุเกิดที่แขวงทุ่งสองห้อง เขตหลักสี่ กรุงเทพมหานคร
ขอให้ลงโทษจําเลยตาม พรบ.ว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ.2502 มาตรา 3,8,11ระหว่างพิจารณา บริษัทโทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน) ยื่นคำร้องขอให้จำเลย ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่ผู้ร้องเป็นเงินจำนวน 525,370,000 บาทพร้อมดอกเบี้ย
จําเลยให้การปฏิเสธอ้างว่า จำเลยอนุมัติจ่ายเงินให้แก่บริษัทสามารถไอ-โมบาย จํากัด (มหาชน) โดยเป็นไปตามผลการเจรจาของคณะกรรมการเพื่อพิจารณาและกำหนดแนวทางที่ นำเสนอมา และมติที่ประชุมของคณะกรรมการ บมจ.ทีโอที ในการประชุมครั้งที่ 19/2551 เมื่อให้อำนาจจําเลยอนุมัติจ่ายเงินตามฟ้องได้เนื่องจากเป็นเรื่องการบริหารจัดการ สัญญาของฝ่ายบริหาร ทั้งเป็นการปฏิบัติตามสัญญาที่ยกเว้นให้จำเลยมีอำนาจอนุมัติจ่ายเงินได้เกินกว่า 10 ล้านบาทตามคำสั่งคณะกรรมการ บมจ.ทีโอทีที่ 29/2546 และจำเลยไม่จำต้องให้ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัททีโอที จำกัด (มหาชน) พิจารณา อนุมัติจ่ายเงินจำนวนดังกล่าวเพราะตามมติที่ประชุมที่19/2551 ข้างต้นให้อำนาจจำเลยไว้แล้วกับตามคำสั่ง บมจ.ทีโอที ที่ ส.10/2561 เรื่องผลการสอบสวนผู้รับผิดทางแพ่งสรุปว่าการจ่ายเงิน ตามฟ้อง จําเลยไม่มีความผิดทางแพ่ง จําเลยจึงมิได้กระทำความผิดตามฟ้องและไม่ต้องรับชำระ ค่าสินไหมทดแทนแก่ผู้ร้อง
ทางไต่สวนพยานหลักฐานจากการพิจารณาของศาลประกอบรายงานการไต่สวน ข้อเท็จจริงของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังได้ว่า บริษัททีโอที จำกัด (มหาชน) หรือ บริษัทโทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน) ผู้ร้อง เป็นรัฐวิสาหกิจตามพรบ.วิธีการ งบประมาณ พ.ศ. 2502มาตรา 3 และตามพรบ.วิธีการงบประมาณ พ.ศ.2561 มาตรา 4 เมื่อวันที่13 ต.ค.2551 บริษัททีโอที จำกัด (มหาชน) ได้จ่ายเงินให้แก่บริษัทสามารถไอ-โมบาย จำกัด (มหาชน) เป็นจำนวน1,476 ล้าน บาท (ไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) ตามการอนุมัติของจำเลย คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยว่า การกระทำของจำเลยที่อนุมัติจ่ายเงินดังกล่าวเป็นความผิดตามฟ้องหรือไม่