ดังนั้นจึงต้องถามไปยังผู้บังคับบัญชาของ บช.ปส. ซึ่งปัจจุบันคือ พล.ต.ท.สรายุทธ สงวนโภคัย ว่าในช่วง 10 วันที่ผ่านมานี้ หน่วยงานของท่านได้นำตัวนายอุปกิต มาแจ้งข้อหาและเข้าสู่กระบวนการดำเนินคดีหรือยัง ถ้ายัง จะเริ่มได้เมื่อไร อย่างน้อยท่านมีอำนาจในการออกหมายเรียกแน่ ๆ หรือหากเห็นว่าเป็นคดีร้ายแรง จะไปขอหมายจับกับศาลเองก็ยังได้
“ผมไม่ได้มีอำนาจไปสั่งการ ผบช.ปส. จึงได้แต่หวังในฐานะประชาชนคนหนึ่งที่ติดตามกรณีดังกล่าวและไม่อยากเห็นคนผิดลอยนวลเพียงเพราะใกล้ชิดกับผู้มีอำนาจ หวังว่าท่านจะปฏิบัติหน้าที่ให้สมกับเป็นตำรวจปราบยาเสพติด และขอฝากความหวังถึง ผบ.ตร. ที่ในวันนั้นกรุณามารับหนังสือจากผมด้วยตัวท่านเอง ช่วยติดตามผู้ใต้บังคับบัญชาของท่านด้วยเช่นกัน”
ล่าสุดวันนี้ (17 มี.ค.) ที่รัฐสภา นายอุปกิต ปาจรียางกูร สมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) ได้แถลงข่าวกรณีที่นายรังสิมันต์ โรม ส.ส.บัญชีรายชื่อ และโฆษกพรรคก้าวไกล ออกกล่าวหา โดยเริ่มต้นกล่าวกับสื่อมวลชนว่า ขออภัยที่ออกมาชี้แจงล่าช้า เพราะเกรงว่าจะเสียรูปคดี ส่วนกรณีที่นายรังสิมันต์ และสื่อบางสื่อได้ตัดสินว่าตนผิด เรื่องดังกล่าวเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมแล้ว จึงไม่ขอก้าวล่วงมากนัก
ทั้งนี้ ก่อนที่จะชี้แจงเรื่องข้อกล่าวหาต่าง ๆ นายอุปกิตได้พูดถึงกรณีที่ลูกเขยถูกจับกุมในคดียาเสพติดและฟอกเงิน โดยเจ้าหน้าที่อ้างว่า มีพฤติกรรมหลบหนี ทั้งที่ลูกเขยอยู่ที่บ้านพักซอยสุขุมวิท 69 ซึ่งเป็นบ้านพักของตนเอง และลูกเขยของตนได้พักอาศัยอยู่ที่บ้านนั้นมานานแล้ว ซึ่งในขณะจับกุม ลูกเขยก็ได้เดินเล่นกับลูกเล็กอยู่ นั่นก็คือหลานของตนเอง
ทั้งนี้ เมื่อนายอุปกิตพูดถึงเรื่องดังกล่าว ก็ถึงขั้นร้องไห้ออกมา เพราะรู้สึกสงสารหลาน โดยระบุว่า หากตนเป็นคนที่มีอิทธิพลอย่างที่มีการกล่าวอ้าง ลูกเขยคงไม่ต้องอยู่ในคุกมา 7 เดือน เพราะหากตำรวจอยากช่วยตน ก็มีอำนาจจับกุมแล้วประกันตัวได้ และหากจะช่วยกันก็ช่วยตั้งแต่วันนั้นแล้ว แต่ลูกเขยอยู่ในคุกมา 7 เดือน หลานเล็กๆของตนก็ร้องไห้ทุกวัน แม่ของหลาน ก็โทรมาร้องไห้ทุกวัน แต่ตนก็ช่วยอะไรไม่ได้เลย
จากนั้น นายอุปกิต ได้ชี้แจงยืนยันว่า ตนไม่ใช่ผู้ถือหุ้นหรือเป็นกรรมการบริษัท อัลลัวร์กรุ๊ป จำกัด และตำรวจก็ไม่ได้ช่วยแยกคดีนี้ออกมาเป็นอีกคดีหนึ่ง ทั้งหมดเป็นคดีนอกราชอาณาจักร
ส่วนกรณีที่มีการกล่างอ้างว่า มีตำรวจที่ทำคดีดังกล่าวถูกโยกย้าย นายอุปกิต ยืนยันว่า ตนไม่มีอำนาจหรือกดดันให้ใครย้ายตำรวจคดีนี้ แต่ตำรวจที่ถูกย้ายเป็นการย้ายไปตามวงรอบ และไม่มีผลงานในช่วง 3-4 เดือน มีแค่คดีนายทุนมินลัตคดีเดียว อีกทั้งการย้ายครั้งนี้ เป็นการย้ายไปในตำแหน่งที่ใกล้เคียงกัน ไม่ใช่ย้ายเพราะการลงโทษ หากตนมีอิทธิพลจริง ก็คงย้ายออกไปไกล ๆ ขณะเดียวกัน ตำรวจชุดนี้ ไม่ได้รับผิดชอบคดีดังกล่าวมาตั้งแต่ก่อนหน้านี้ ซึ่งถ้าตำรวจจะช่วยตน ก็ช่วยตั้งแต่วันแรกแล้วที่มาจับกุมลูกเขยของตน
ส่วนกรณีนายรังสิมันต์ โจมตีทำให้ตนเองเสียหายอย่างมากนั้น นายอุปกิต กล่าวว่า กรณีการออกหมายจับแล้วยกเลิกหมายจับในวันเดียวกันนั้น เนื่องจากมีการตกแต่งคำพูดในแชทโดยตั้งใจหรือไม่ตั้งใจเพื่อนำมาปั้นเป็นหลักฐานให้ตนมีความผิด
ส่วนกรณีที่มีการกล่าวหาว่า ตนนำเงินที่ค้ายาเสพติดมาฟอกผ่านการธุรกิจจำหน่ายระหว่างไทยกับเมียนมานั้น นายอุปกิต ชี้แจงว่า คงไม่มีใครไม่มีใครคิดนำเงินค่าไฟฟ้าที่ถูกกฎหมาย ไปเปลี่ยนให้เป็นเงินผิดกฎหมาย เพื่อไปฟอกผ่านการโอนเงินจ่ายค่าไฟฟ้า จึงยืนยันว่า ไม่ได้นำไปฟอกกับคนโอนเงินเพื่อจ่ายค่าไฟฟ้า
ขณะที่คดีของนายทุนมินลัต ก็ยังไม่ได้สิ้นสุดกระบวนการยุติธรรม กลับนำคดีนี้มาปั่นกระแสเพื่อประโยชน์ทางการเมือง โดยที่ตนไม่มีโอกาสที่จะชี้แจงหรือรักษาสิทธิ์ตนเอง จึงขอตั้งข้อสังเกตว่า มีทฤษฎีสมคบคิดหรือไม่ และ พ.ต.ท.มานะพงษ์ วงศ์พิวัฒน์ สารวัตรสืบสวน สถานีตำรวจนครบาลพญาไท มีความสัมพันธ์กับพรรคก้าวไกลหรือไม่ พร้อมกันนี้ ตั้งข้อสังเกตว่า มีความพยายามปั้นหลักฐานต่างๆไปฟ้องต่อศาล ผ่านกระบวนการที่มีความเชื่อมโยงกันจากหลายฝ่าย ทั้งนักวิชาการ นักเคลื่อนไหว นักการเมือง สื่อมวลชน และตำรวจ
มีการเมืองอยู่เบื้องหลังหรือเปล่า เพราะการเผยแพร่เอกสารหลุดจาก พ.ต.ท.มานะพงษ์ และพรรคการเมืองฝั่งตรงข้ามขั้วรัฐบาลออกมาโหนกระแส ตนและครอบครัวจึงขอความเป็นธรรม เพราะตนและครอบครัวตกเป็นเหยื่อทางการเมือง ใช้ประโยชน์เพื่อการหาเสียง ตนยังเชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรม ไม่มีใครก้าวก่าวและแทรกแซงได้ โดยเฉพาะตนเอง
นายอุปกิต เปิดเผยอีกว่า วันนี้ ตนเองและทนายความจะเดินทางไปยื่นฟ้อง พ.ต.ท.มานะพงษ์ และผู้ที่เกี่ยวข้องในข้อหาปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบต่อศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบในวันนีั (17 มี.ค.)
นายอุปกิต กล่าวอีกว่า สำหรับสื่อมวลชนที่ได้ฟ้องแล้ว และกำลังจะยื่นฟ้อง เนื่องจากทำให้ตนเสียหาย ทั้งที่ยังไม่มีการตัดสินว่าตนผิด ดังนั้น ใครที่ล้ำเส้นตน กล่าวหาตน ตนจะปกป้องสิทธิด้วยการฟ้อง หากตนชนะคดีเหล่านี้ ขอบริจาคเงินให้การกุศลทั้งหมด เพราะตนต้องการเพียงกอบกู้ชื่อเสียงและเกียรติยศของตน
หลังการแถลงเสร็จสิ้น นายอุปกิตได้ยกมือพนม พร้อมกล่าวสาบานทั้งน้ำตาว่า “ผมขอสาบานต่อหน้าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมดในสากลโลก ผมและครอบครัวไม่เคยยุ่งเกี่ยวกับธุรกิจยาเสพติดอย่างที่โดนกล่าวหา ไม่คิดจะทำ และไม่มีวันทำ แต่หากใครใส่ร้ายกล่าวหาผมและครอบครัว ขอให้ท่านเหล่านั้นและครอบครัวประสบความวิบัติและมีอันเป็นไป”