“ไทยศรีวิไลย์” ลงพื้นที่บางบัวทอง สักการะหลวงพ่อหิน วัดบางรักใหญ่

"ไทยศรีวิไลย์" ลงพื้นที่บางบัวทอง สักการะหลวงพ่อหิน วัดบางรักใหญ่

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายมงคลกิตติ์  สุขสินธารานนท์  อดีต ส.ส.บัญชีรายชื่อ-หัวหน้าพรรคไทยศรีวิไลย์ พร้อมด้วย นางสาวภคอร จันทรคณา อดีต ส.ส.บัญชีรายชื่อ-รองหัวหน้าพรรค ,นายศยุน ชัยปัญญา เลขาธิการ ,นายสรกฤช  จันทรคณา  โฆษกพรรค ,นางสาวกนิษฐรินทร์ พัชรภักดีโชติ กุ้งพลอย หรือ ติ๊ก บิ๊กบราเทอร์ รองโฆษกประจำหัวหน้าพรรค, พล.ท.ดร.กฤตภาส คงคาพิสุทธ์ ประธานยุทธศาสตร์ด้านพลังงาน นางสาวอริญรดา สาระชัย นายทะเบียนพรรค ,นางสาวสุขสุนันท์ กีรติดวงจันทร์ ว่าที่ ผู้สมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อ และคณะ ลงพื้นที่ อ.บางบัวทอง จ.นนทบุรี เพื่อร่วมงานประจำปีของวัดบางรักใหญ่ โดยนายมงคลกิตติ์และคณะ ได้กราบสักการะหลวงพ่อหิน ซึ่งเป็นพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ประจำวัด จากนั้น ได้เดินชมบรรดาแผงค้าที่อยู่ภายในบริเวณงานวัด จากนั้น ได้เดินทางไปยัง อ.เมืองนนทบุรี เพื่อไปพบปะประชาชนและพ่อค้าแม่ค้าที่ค้าขายภายในงานไทยช่วยไทย EXPRO & COWBOY SHOW อยู่ตรงข้ามตลาดนกฮูก โดยประชาชนต่างเข้ามาทักทายนายมงคลกิตติ์ และขอถ่ายรูปอย่างเป็นกันเองง

 

ข่าวที่น่าสนใจ

โดยนายมงคลกิตติ์ กล่าวถึงผลการสำรวจของสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ หรือ นิด้าโพลล์ ที่ระบุว่า ประชาชน จะสนับสนุนให้ตนเป็นนายกรัฐมนตรี คนที่ 30 มาในลำดับที่ 14 และประชาชนจะเลือก ส.ส.บัญชีรายชื่อ จากพรรคไทยศรีวิไลย์มาลำดับที่ 12 ว่า ต้องขอขอบคุณประชาชนที่ไว้วางใจตนและพรรคไทยศรีวิไลย์ในการตอบแบบสอบถามของทางนิด้าโพลล์ ซึ่งแสดงให้เห็นว่า ยังมีประชาชนที่ยังรักและชื่นชอบผลงานของตนในการทำหน้าในสภาผู้แทนราษฎร รวมทั้ง ในการช่วยเหลือเพื่อให้ก้าวผ่านวิกฤตต่างๆ เช่น การระบาดของไวรัสโควิด – 19 การช่วยเหลือประชาชนในช่วงน้ำท่วม การตรวจสอบการทุจริตเพื่อปกป้องเงินภาษีของประชาชน เป็นต้น ซึ่งตรงนี้ถือเป็นประสบการณ์การทำงานที่ผ่านมาของทางพรรคไทยศรีวิไลย์ จากพรรคการเมืองที่โนเนมไม่มีใครรู้จักมาเป็นพรรคการเมืองที่มีผลสำรวจว่าประชาชนสามารถฝากผีฝากไข้ได้ในวันนี้ อย่างไรก็ตาม ตนยอมรับว่า ยังมีปัจจัยอีกมากที่จะทำให้พรรคไทยศรีวิไลย์ มีเสียงมากพอที่จะได้ทำตามนโยบายที่ประกาศไว้ ซึ่งเป้าหมายของพรรคฯ ที่ตั้งใจมาตลอดในการเลือกตั้งครั้งนี้คือ การเป็นพรรคตัวแปรในการจัดตั้งรัฐบาล ซึ่งทางพรรคฯ ก็เสนอเงื่อนไขไปบางส่วนแล้วว่า หากไม่เอานโยบายเรื่องเงินผดุงเกียรติทหารผ่านศึก เดือนละ 3,000 บาท ก็ไม่ต้องมาชวนให้ไปร่วมรัฐบาล เพราะตนมองว่า บรรดานายพลที่ได้สวัสดิการต่างๆ มากมาย และได้เสวยสุขบนอำนาจบนความทุกข์ยากและเสียงก่นด่าของประชาชนนั้น ต่างใช้บรรดาทหารผ่านศึกซึ่งส่วนใหญ่เป็นพลทหารชั้นผู้น้อย เป็นผู้ออกหน้าออกตาทำงานให้

 

ซึ่งทุกวันทหารผ่านศึกหลายนายต่างคิดว่า จะเอาข้าวสารที่ไหนมากรอกหม้อเพื่อให้ผ่านพ้นไปวันๆ ต่างจากนายทหารที่กินดีอยู่ดีมีความสุขมากมาย ดังนั้น การที่ตนและพรรคไทยศรีวิไลย์ประกาศนโยบายนี้ออกไป ได้รับความสนใจจากประชาชนและเหล่าทหารผ่านศึกเป็นจำนวนมากที่อยากให้เกิดขึ้นจริง เพราะฉะนั้น ตนจึงอยากให้ประชาชนสนับสนุนพรรคไทยศรีวิไลย์ในการเลือกตั้งครั้งนี้ เพื่อที่จะได้มีการสานต่อร่างแก้ไขพระราชบัญญัติองค์การสงเคราะห์ทหารผ่านศึก (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. ที่มีเนื้อหาสำคัญเกี่ยวกับการมอบเงินผดุงเกียรติให้กับทหารผ่านศึกทุกนาย โดยขอให้เลือกว่าที่ผู้สมัคร ส.ส. ทั้ง 2 ระบบ ให้มากพอที่จะดำเนินการเกี่ยวกับเรื่องนี้ได้โดยตนเอง โดยเฉพาะเงื่อนไขสำคัญคือ ในมาตรา 133 วรรค 2 ของรัฐธรรมนูญฯ ที่ระบุว่า ร่าง พ.ร.บ.ที่เกี่ยวข้องกับการเงิน จะเสนอได้ก็ต่อเมื่อมีคํารับรองของนายกรัฐมนตรี ดังนั้น ตนและพรรคไทยศรีวิไลย์เป็นผู้เริ่มต้นตั้งแต่แรก ก็อยากจะทำตรงนี้ให้ถึงที่สุด ซึ่งหนทางเดียวที่จะทำได้ก็คือ เลือกไทยศรีวิไลย์ครอบครัวละ 1 คะแนน เราจะทำทุกนโยบายแทนท่านเอง

 

“ผมขอขอบคุณประชาชนที่ให้ความไว้วางใจผมให้เป็นนายกฯ ในลำดับที่ 14 ซึ่งสูงกว่านักการเมืองและผู้ที่มีชื่อเสียงหลายท่าน และพรรคไทยศรีวิไลย์ ก็เข้าไปอยู่ในใจประชาชนเป็นลำดับที่ 12 ซึ่งผมถือว่า ความคิดก่อนหน้านี้ที่ผมจะหันไปสอนหนังสือ หลังหมดวาระการเป็น ส.ส.นั้น ได้หายไปอย่างสิ้นเชิง เพราะประชาชนได้ล้มเลิกความตั้งใจผมและให้กำลังใจในการต่อสู้ทางการเมืองต่อไป เพราะอย่างที่ทราบกันดีว่า ผมและหลายๆพรรคการเมือง เริ่มต้นจาก 0 ที่นั่ง แต่บางพรรคเขามี 250 คนหรือ 125 คนตามความสนิทสนมว่าจะอยู่ตรงไหน ซึ่งผมก็จะพยายามลงพื้นที่แนะนำนโยบาย และตัวผู้สมัคร ส.ส. ให้ได้มากที่สุด เพราะต้องการแสดงให้เห็นว่า การเมือง 4 ไม่ที่ตนและพรรคยึดถือ คือ ‘ไม่ยุบ ไม่รวม ไม่ดูด ไม่ซื้อ’ ก็สามารถมีที่นั่งในสภาผู้แทนราษฎรได้ในสภาชุดต่อไป

 

รวมทั้ง ผมเองก็ประกาศตัวมาตลอดว่า ‘ผมพร้อมจะเป็นนายกรัฐมนตรี’ เพราะอย่างน้อยๆ ประเทศไทยก็ให้โอกาสคนวัย 40 ต้นๆ มาเป็นนายกรัฐมนตรีมาแล้วถึง 4 คน ได้แก่ จอมพล ป.พิบูลสงคราม  ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช  นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ซึ่งขณะนี้ผมมีอายุ 41 ปี ยังมีสมองและเรี่ยวแรงในการทำงานอีกมาก รวมทั้ง หลายๆปัญหาในปัจจุบัน ที่ต้องการคนรุ่นใหม่เข้าไปแก้ไขเป็นจำนวนมาก ดังนั้น ผมจึงอยากขอโอกาสจากประชาชนคนไทยผู้มีสิทธิ์เลือกตั้ง เลือกว่าที่ผู้สมัคร ส.ส. ของพรรคให้มากที่สุด เพื่อจะได้ดำเนินการเสนอชื่อผมเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 ซึ่งก็จะเป็นนายกฯ คนที่ 5 ที่มาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในช่วงอายุ 40 ต้นๆ และผมหวังว่า ในการสำรวจของโพลล์จากสำนักต่างๆ ในครั้งต่อๆ ไป จนถึงวันเลือกตั้ง ผมจะมีโอกาสเป็นที่ 1 ของผลโพลล์ และเป็นที่ 1 ในใจของประชาชนสำหรับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีด้วย” นายมงคลกิตติ์กล่าว

 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ข่าวล่าสุด

เซเว่นฯ เดินหน้านโยบาย “2 ลด ลดพลาสติก ลดพลังงาน" เพื่อสิ่งแวดล้อม 24 ชม. เชิญชวนคนไทย ลดใช้พลาสติกแบบใช้ครั้งเดียวทิ้ง
“ภูมิธรรม”คาด 4 ลูกเรือไทยได้รับการปล่อยตัว 4 ม.ค. นี้ ยืนยันกลาโหม-กองทัพไม่ได้อ่อนแอ
ฮาร์บินเปิด ‘สวนสนุกน้ำแข็ง-หิมะ’ จีนใหญ่สุดในโลก
ทรัมป์เสนอยูเครนสละดินแดนเพื่อยุติสงคราม
โฆษกกห. ยัน ไม่ได้ปิดด่านชายแดนจังหวัดตาก แค่สกัดโรค อุดช่องทางธรรมชาติ
“พิพัฒน์” ลุยปฏิรูป “ก.แรงงาน” ก้าวใหม่สู่ยุค AI สร้างทักษะพัฒนาฝีมือ ดูแลสวัสดิการทุกมิติ
"สรรเพชญ" พร้อมกลุ่มสส.ร่วม "ชวน-บัญญัติ" ส่งหนังสือเร่งรัฐ เยียวยาน้ำท่วมทำใต้วิปโยค
“ทักษิณ” อวย ฉายา “แพทองโพย” เก่งกว่าพ่อนั่งนายกฯ ฟุ้งคนเหนือก็เป็นพ่อเลี้ยงกันหมด
“อนุทิน” น้อมรับฉายา “ภูมิใจขวาง” ลั่นไม่ได้คิดขวางใคร ชื่นชม “นายกฯ” ตั้งใจทำงาน หลังถูกมองเป็นรบ. (พ่อ) เลี้ยง
“รทสช.” เคลื่อนไหว หลังสื่อทำเนียบฯตั้งฉายา “พีระพันธุ์” Fc แห่คอมเมนต์ให้กำลังใจ

ดู LIVE รายการ

X

เราใช้ คุ้กกี้ เพื่อให้ทุกคนได้ประสบการณ์การใช้งานที่ดียิ่งขึ้น