เปิด 4 เคล็ดลับรักษา "ส้นเท้าแตก" ง่าย ๆ ได้ที่บ้าน ให้กลับมาเนียนนุ่มนิ่มเหมือนเท้าเด็ก เช็คเลยไม่อยากอย่างที่คิด
ข่าวที่น่าสนใจ
“ส้นเท้าแตก” หนึ่งในปัญหายอดฮิตที่หลายคนต้องเผชิญ นอกจากจะดูไม่สวย ทำให้หลายคนไม่มั่นใจแล้ว เวลานอนยังเกี่ยวผ้าห่มให้รำคาญใจอีกด้วย แถมบางคนยังมีอาการเจ็บบริเวณแผลอีกด้วย ทรมานขนาดแล้วไม่รักษาก็จะเกินไป วันนี้ TOP News รวมคำตอบทุกข้อสงสัยมาให้ทุกคนแล้ว ติดตามชมกันเลยค่า
ส้นเท้า แตกเกิดจากอะไร ส้นเท้าแตกเกิดจากหลายสาเหตุ เช่น
- อากาศที่แห้งหรือหนาวเย็น
- ภาวะร่างกายขาดน้ำ
- ดื่มน้ำน้อย
- อาบน้ำด้วยน้ำอุ่นที่ร้อนจนเกินไป
- แช่อยู่ในน้ำร้อนเป็นเวลานานหรือบ่อยเกินไป
- ใช้สบู่ที่ทำให้ผิวแห้ง
- ไม่ทาครีมบำรุงที่ทำให้เท้ามีความชุ่มชื้น
- ขัดเท้า
- การใส่รองเท้าที่ไม่ถนอมเท้าหรือเปิดผิวเท้ามากเกินไป
- มีภาวะอ้วน มีน้ำหนักตัวมาก
- ป่วยเป็นโรคเบาหวาน เป็นต้น
ส้น เท้าแตก อันตรายกว่าที่คิด
- หากปล่อยไว้จนเป็นแผลลึกและไม่ได้รับการรักษา
- เสี่ยงต่อการติดเชื้อรุนแรงได้
- ผู้ที่มีความเสี่ยงสูงต่อการเกิดส้นเท้า แตก
- มีโอกาสพัฒนาไปสู่การติดเชื้อได้มาก โดยเฉพาะผู้ป่วยโรคเบาหวาน และผู้มีภาวะอ้วน
ผู้ป่วยโรคเบาหวานอาจมีอาการส้น เท้าแตก เนื่องจาก
- เส้นประสาทบริเวณเท้าถูกทำลายจากปริมาณน้ำตาลในเลือดที่ไม่สามารถควบคุมได้
- ทำให้มีผิวแห้งแตกได้ง่าย จึงควรเฝ้าระวังป้องกันการเกิดโรคและการเจ็บป่วยที่เท้า
ผู้ที่มีภาวะอ้วน น้ำหนักตัวจะเพิ่มแรงกดบริเวณฝ่าเท้า
- หากมีผิวแห้ง อาจไม่สามารถรองรับต่อแรงกดเหล่านั้นได้
- ทำให้เกิดรอยแตกที่ส้นเท้า
วิธีรักษาส้น เท้าแตก
1. ครีม ยา และผลิตภัณฑ์ที่ให้ความชุ่มชื้นแก่ผิว สำหรับส้นเท้า แตก ทาไปบริเวณที่เป็นรอยแตก อย่าง
- ครีมที่มีส่วนผสมของ ไดเมทิโคน (Dimethicone) จะช่วยป้องกันไม่ให้ผิวแห้งและเพิ่มความชุ่มชื้นกักเก็บน้ำให้แก่ผิว ลดการเกิดหนังที่หนาและด้านจากภาวะผิวแห้งที่จะทำให้เกิดผิวส้นเท้าแตกตามมา
- ครีมบำรุงผิวที่ให้ความชุ่มชื้น
- ครีมที่มีส่วนผสมของน้ำมัน สามารถใช้ทาได้วันละหลาย ๆ ครั้ง ใช้ได้ผลดีที่สุดเมื่อทาหลังอาบน้ำ เพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นให้แก่ผิว และป้องกันผิวแห้งแตก
2. ปิโตรเลียม เจลลี่ (Petroleum Jelly)
- เป็นเจลเหลวที่ใช้ทาเพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นให้แก่ผิว ฟื้นฟูผิวบริเวณที่เป็นส้นเท้า แตก
- ควรทาไว้ก่อนนอนแล้วสวมถุงเท้าทับ ให้ผิวบริเวณส้นเท้าที่แตกได้ดูดซับความชุ่มชื้นจากเจลไปตลอดคืนในระหว่างที่นอน
3. ดื่มน้ำสะอาดในปริมาณที่เพียงพอ
- หากมีน้ำในร่างกายน้อย นอกจากจะเกิดอาการปากแห้งคอแห้ง กระทบต่อระบบภายในต่าง ๆ จากภาวะร่างกายขาดน้ำแล้ว
- ยังส่งผลต่อสภาพผิวที่แห้งแตกได้ด้วย จึงควรดื่มน้ำให้มาก ๆ เพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นให้แก่บริเวณที่ส้น เท้าแตก ให้ผิวฟื้นฟูกลับมาเป็นปกติได้
4. เลือกใช้สบู่ถนอมผิว
- ไม่ใช้สบู่ที่มีสารเคมีเข้มข้นหรือที่มีส่วนผสมทำให้ผิวแห้งได้
- เลือกใช้สบู่ที่ถนอมผิว ไม่ก่ออาการแพ้ ไม่ระคายเคืองผิว และไม่ทำให้ผิวแห้ง
อาการ “ส้นเท้าแตก” ขนาดไหน ถึงควรไปพบแพทย์
- หากมีอาการบวมแดงและเจ็บปวดบริเวณส้น เท้าแตกมาก
- หรือมีหนองและอาการไม่บรรเทาแม้พยายามรักษาด้วยวิธีต่าง ๆ ด้วยตนเองแล้ว
- ควรไปพบแพทย์หรือแพทย์เฉพาะทางที่รักษาเท้า เพื่อตรวจหาการติดเชื้อและรีบรักษาได้อย่างทันท่วงที
การรักษาโดยแแพทย์
- หลังจากตรวจอาการส้น เท้าแตกที่สร้างปัญหาแล้ว แพทย์จะทำการรักษาตามวิธีที่เหมาะสมกับแผลและรอยแตกนั้น เช่น
- การผ่าตัดเนื้อตาย แพทย์จะตัดเอาผิวหนังแตกบางส่วนที่แข็งและหนาออกไป โดยวิธีการนี้ผู้ป่วยไม่ควรพยายามทำด้วยตนเองที่บ้านเด็ดขาด เพราะ อาจตัดเอาเนื้อส่วนอื่นออกไปด้วยและเสี่ยงต่อการเกิดแผลติดเชื้อตามมา
- การพันปิดบาดแผล แพทย์จะใช้ผ้าพันปิดบาดแผลหรือบริเวณที่ส้น เท้าแตกไว้ เพื่อลดแรงกระเทือนลดรอยแตกหรือการฉีกขาดของผิวหนังที่อาจเกิดขึ้นได้จากการเคลื่อนไหวร่างกาย
- การจ่ายยา แพทย์จะจ่ายยาที่เหมาะสม เพื่อบรรเทาอาการปวดและอาการอักเสบที่เกิดขึ้น หรือยาประเภทครีมที่มีส่วนผสมของยูเรียหรือกรดซาลิไซลิก
- การเสริมพื้นรองเท้า แพทย์อาจแนะนำให้ใช้แผ่นยางรองรองเท้าเพื่อผ่อนน้ำหนักและแรงกดที่ส้นเท้า ซึ่งเป็นการบรรเทาอาการและความรุนแรงของอาการส้น เท้าแตกได้
วิธีป้องกันไม่ให้เกิดส้น เท้า แตก
- อาบน้ำอุณหภูมิที่เหมาะสม ไม่อาบน้ำร้อนจนเกินไป
- ไม่แช่เท้าอยู่ในน้ำเป็นเวลานาน
- หากต้องอยู่ในสภาพอากาศแห้ง ๆ หรือหนาวเย็น อาจเลี่ยงการอาบน้ำ ไม่อาบน้ำทุกวัน หรืออาบไม่เกินวันละครั้ง และไม่อาบน้ำนาน
- เลือกสบู่ที่ดีต่อผิว ที่เพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิว ไม่ทำให้ผิวแห้ง และไม่ขัดเท้า
- ควรเช็ดล้างทำความสะอาดเท้า และทาครีมบำรุงผิวที่เพิ่มความชุ่มชื้นอยู่เสมอ
- เลี่ยงการสวมใส่รองเท้าแตะ เพราะ ไม่ถนอมผิวบริเวณเท้า
- ไม่สวมรองเท้าที่คับและรัดจนเกินไป และควรสลับผลัดเปลี่ยน
- ไม่ควรสวมรองเท้าคู่เดิมซ้ำ ๆ ทุกวัน
- หมั่นสำรวจตรวจเช็คร่องรอย รอยแตก บาดแผล อาการบวม หรือความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นบริเวณเท้า
- แล้วหาทางรักษาอย่างถูกวิธี หากไม่ทราบวิธีปฏิบัติที่ถูกต้อง ควรปรึกษาแพทย์และผู้เชี่ยวชาญเสมอ
ข้อมูล : pobpad
ข่าวที่เกี่ยวข้อง