ยิ่งขุดยิ่งพบความไม่ปกติที่เป็นสาเหตุทำให้ราคาไฟฟ้าอยู่ในระดับสูง จนกลายเป็นภาระภาคประชาชนและภาคธุรกิจ อุตสาหกรรม ล่าสุด Top Biz Insight (27 มี.ค.) รายงานงบดุลการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย หรือ กฟผ. สรุปแล้ว ณ สิ้นปี 2565 กฟผ.มีหนี้สะสม มากกว่า 1 ล้านล้านบาท และ มียอดคงค้างจ่ายคืนหนี้ให้กับกระทรวงการคลัง ราว 1 แสนล้านบาท
ขณะที่ผลประกอบการของบริษัทเอกชนที่เข้ามาผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าให้กับ กฟผ. กลับมีตัวเลขเป็นบวกเพิ่มขึ้นทุกกปี เริ่มจากเข้าสู่วงการผลิตขายไฟฟ้า มียอดทุนจดทะเบียน 1,000,000 บาท แต่วันนี้ทุนจดทะเบียนพุ่งสูงเกือบ 1 หมื่นล้าน นี่จึงเป็นคำถามว่าสุดท้ายแล้วรัฐบาลจะเลือกเก็บ กฟผ.เอาไว้ หรือ จะเดินหน้าเพิ่มผลกำไรให้กับภาคเอกชนต่อไป
ทั้งนี้ นายอิศเรศ รัตนดิลก ณ ภูเก็ต รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย กล่าวถึงกรณี กกพ. เคาะค่าไฟฟ้างวดเดือน พ.ค.-ส.ค.2566 เป็นอัตราเดียวกัน คือ อัตราครัวเรือน กับอัตราภาคอุตสาหกรรม 4.77 บาท
ประเด็นสำคัญ คือ นายอิศเรศ อธิบายว่า เงินค่าไฟฟ้างวดเดือนม.ค.-เม.ย.ที่ประชาชนจ่ายอยู่ในระดับสูง มาจากสมมติฐานการคำนวณค่าไฟของ กกพ.ที่ไม่ตอบโจทย์ หรือ ไม่ควรใช้หลักเกณฑ์ช่วงเดือน ม.ค.มาเป็นหลักในการคำนวณ แต่ควรใช้ช่วงเดือน มี.ค. 2566 เพราะเมื่อเทียบกันแล้วถือเป็นช่วงที่ราคาพลังงานลดลงมากที่สุด โดยเฉพาะก๊าซธรรมชาติเหลว LNG ราคาเพียงแค่ 13 เหรียญสหรัฐต่อล้าน BTU ขณะที่ กกพ.กลับเลือกใช้ราคาเดือน ม.ค.2566 ที่ 20 เหรียญสหรัฐต่อล้าน BTU ซึ่งถ้าคำนวณจากฐานเดือนมี.ค.2566 ค่าไฟถึงภาคครัวเรือนจะอยู่ที่ 4.40 บาทเท่านั้น
“ราคาก๊าซธรรมชาติเหลว LNG ในตลาดจร ณ เวลานี้ 13 เหรียญสหรัฐ แต่ปรากฎว่า กกพ. ไปใช้ฐานเดือน ม.ค. ซึ่งฐานเดือนม.ค.ใช้คำนวณค่า FT อยู่ที่20 เหรียญสหรัฐ ซึ่งต่างกัน 7 เหรียญ แทนที่จะใช้ฐานคำนวณในราคาถูก กลับไปใช้ฐานคำนวณในราคาแพง”
อีกด้านหนึ่งเมื่อพิจารณาถึงค่าไฟฟ้างวดเดือน พ.ค.-ส.ค. 2566 ซึ่งเป็นช่วงต้นทุนพลังงานของโลกต่ำลง รวมค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้น จากการชะลอขึ้นค่าดอกเบี้ยของสหรัฐ แต่ภาครัฐกลับใช้สมมติฐานของเดือน ม.ค.ที่ไม่อัพเดตกับภาวะขาลงของราคาพลังงาน ทำให้คนไทยทั้งประเทศต้องแบกรับตัวเลขค่าไฟฟ้าสูงเกินจริง จึงอยากจะถามภาครัฐว่าทำเพื่ออะไร ใครได้ประโยชน์ รวมถึงอยากฝากให้ไปปรับวิธีการคำนวณต่องวดเหลือ 2 เดือนเพื่อให้ต้นทุนค่าไฟฟ้ามีความแม่นยำมากขึ้น
นอกจากนี้ นายอิศเรศ ยังตั้งข้อสังเกตุด้วยว่า รัฐบาลในช่วงปลายมีการเร่งรัดให้มีการรับซื้อไฟฟ้าจากภาคเอกชนเพิ่ม ทั้งไฟฟ้าสีเขียวจำนวน 5,203 เมกะวัตต์ และส่วนเพิ่ม 3,668 เมกะวัตต์ แบบเร่งรีบ จนเป็นเหตุทำให้เอกชนหลายราย ตัดสินใจยื่นฟ้องขอการคุ้มครองจากศาลปกครอง ด้วยเห็นว่ากระบวนคัดเลือกมีจุดน่ากังขา ยังไม่นับรวมแผนการรับซื้อไฟฟ้าพลังน้ำจากประเทศเพื่อนบ้าน ทั้งๆที่ไทยเองมีการผลิตของโรงไฟฟ้ามากกว่าความต้องการกว่า 50 %
นายอิศเรศ ย้ำด้วยว่า “ประชาชนคนไทยต้องจ่ายค่าไฟฟ้าแพง ขณะที่โรงไฟฟ้าเอกชนหลายราย มีผลประกอบการที่มีกำไรและเติบโตกันอย่างถ้วนหน้า ท่ามกลางสถานการณ์ที่ กฟผ. รัฐวิสาหกิจหลักในการดูแลไฟฟ้าของประเทศเหลือสัดส่วน 30 % เท่านั้น และเป็นฝ่ายแบกภาระยอดหนี้คงค้างจ่ายคืน ราว 1 แสนล้านบาท”