สภาอุตฯ เตรียมยื่นหนังสือถึงนายกรัฐมนตรี ช่วงต้นสัปดาห์หน้า ทบทวนค่าไฟฟ้างวดเดือนพ.ค.-ส.ค.66 เหตุต้นทุนพลังงานลดลง แนะค่าไฟงวดใหม่ไม่เกิน 4.40 บาท/หน่วย ทั้งภาคประชาชนและภาคธุรกิจ จากเดิมที่ 4.77 บาท

นายอิศเรศ รัตนดิลก ณ ภูเก็ต รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยกับทีมข่าว TOPNEWS ว่า ภายในสัปดาห์หน้า ส.อ.ท.เตรียมยื่นหนังสือถึงพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานคณะกรรมการพลังงานแห่งชาติ (กพช) ผ่านสำนักนายกรัฐมนตรี เพื่อทบทวนค่าไฟฟ้าในงวดเดือนพ.ค.-ส.ค.66 ในราคาจะไม่เกิน 4.40 บาท/หน่วย ทั้งภาคประชาชนและภาคธุรกิจ จากเดิม 4.77 บาท เพื่อเป็นการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนและภาคธุรกิจ

นายอิศเรศ ระบุว่า ตามประกาศของกกพ.เมื่อวันที่ 22 มี.ค.66 มีมติเห็นชอบค่าเอฟทีเป็นอัตราเดียวกันสำหรับบ้านที่อยู่อาศัยและผู้ใช้ไฟฟ้าประเภทอื่นๆ เท่ากับ 98.27 สตางค์ต่อหน่วย ทำให้ค่าไฟฟ้าเฉลี่ยรวมอยู่ที่ 4.77 บาทต่อหน่วย โดยค่าไฟของภาคอุตสาหกรรม จะมีการปรับลดลงจาก 5.33 บาทต่อหน่วย ลงมาเหลือ 4.77 บาทต่อหน่วย คิดเป็นการลดลง 11% ขณะที่ค่าไฟภาคครัวเรือน จ่ายแพงขึ้นประมาณ 1% ตรงนี้ไม่เห็นด้วยว่าทำไมภาคครัวเรือนต้องจ่ายแพงขึ้น

ขณะที่เมื่อมาดูสมมติฐานในการจัดทำราคาของเรกกูเลเตอร์ พบว่าการใช้สมมติฐานที่ Conservative มากเกินไป โดยใช้ราคาต้นทุนของพลังงานที่มาทำโรงไฟฟ้าสูงเกินไป

ข่าวที่น่าสนใจ

อย่างไรก็ตาม สภาอุตฯ เห็นว่า ภาคนโยบายโดยคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ยังมีเวลาทบทวนสมมติฐานในการจัดทำค่าไฟฟ้าให้ลดลงได้ โดยมองว่า มีการใช้สมมติฐานที่ Conservative สูงเกินไป เช่น
– การนำราคาต้นทุนเชื้อเพลิงก๊าซธรรมชาติ หรือราคา LNG มาคำนวณต้นทุนค่าไฟฟ้า ตอนนี้ ใช้ราคาเฉลี่ยของเดือนม.ค.66 ซึ่งอยู่ที่ 20 เหรียญสหรัฐต่อล้านบีทียู แต่ราคาปัจจุบัน ลดลงมาอยู่ที่ 13 เหรียญสหรัฐต่อล้านบีทียู เมื่อมองไปข้างหน้าแล้ว สถานการณ์ทุกอย่างไม่มีเหตุผลที่ราคาพลังงานจะสูงขึ้นอีก เพราะฉะนั้น การใช้สมมติฐานแบบ Conservative Assumtion ทำให้ราคาที่ออกมาเป็นราคาที่แพงเกินไป

– การจ่ายคืนหนี้ (จ่ายคืนภาระต้นทุนคงค้าง) ให้กับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) จากเดิมตามงวดแรก (ม.ค.-เม.ย.66) ที่มีแผนคืนหนี้ให้ในระยะเวลา 3 ปี ปีละ 3 งวด รวม 9 งวด แต่ในงวดที่ 2 (พ.ค.-ส.ค.66) นั้น เปลี่ยนมาเหลือ 2 ปี คือ 6 งวด ซึ่งส่วนนี้มองว่าการคืนหนี้เป็นสิ่งสำคัญ แต่จากราคาพลังงานที่ต่ำลง ส่งผลให้หนี้ของ EGAT ลดลงตามราคาพลังงาน เพราะการนำเงินไปซื้อพลังงานมาผลิตไฟฟ้าในราคาที่ต่ำลงได้ จึงไม่จำเป็นต้องเร่งคืนภายใน 2 ปี จึงขอให้พิจารณาทบทวนระยะเวลาการคืนหนี้ให้ กฟผ.เป็นระยะ 3 ปี ตามงวดแรก

นายอิศเรศ ระบุว่า เราทำตัวเลขคร่าวๆ 4.40 บาทต่อหน่วย จะเป็นราคาที่เป็นไปได้ แค่ภาครัฐทบทวนสมมติฐาน ซึ่งอยู่ในวิสัยที่ทำได้ เพื่อประชาชนไม่ต้องจ่ายแพงขึ้น และไม่ทำให้วินัยการคลังของ EGAT เสียไป เพราะงวดที่แล้วก็ใช้ 3 ปีเป็นฐาน

ทั้งนี้ มองว่า กพช. ที่มีนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน ควรมีการกำหนดนโยบายเพื่อให้ กกพ.ดำเนินการทบทวนราคาค่าไฟฟ้างวด 2 (พ.ค.-ส.ค.66) ที่จะเริ่มในเดือนพฤษภาคม 2566 ซึ่งยังมีเวลาในการดำเนินการทบทวนอีกประมาณ 1 เดือน โดยไม่ถือเป็นการหาเสียง หรือ แทรกแซงเชิงนโยบาย ที่รัฐบาลรักษาการจะทำไม่ได้ เพราะเป็นการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนให้กับประชาชนทั้งประเทศ รวมทั้งภาคธุรกิจก็ต้องแข่งขันกับประเทศเพื่อนบ้าน ที่มีต้นทุนค่าไฟฟ้าต่ำกว่าไทย ซึ่งการทำให้ต้นทุนลดลงในส่วนของค่าไฟฟ้า ก็จะช่วยให้ปัจจัยเงินเฟ้อ ความสามารถในการแข่งขันต่างๆ ดีขึ้น ภาคนโยบายของรัฐ ควรสั่งให้เรกกูเลเตอร์ทบทวน เพราะเมื่อปลายปี 65 กกพ.ก็ได้ประกาศลดค่าไฟฟ้าภาคอุตสาหกรรม ก่อนเริ่มงวดเดือนม.ค.-เม.ย.66 เพียงไม่กี่วัน

ค่าไฟ, ค่าไฟแพง, สภาอุตฯ, บิ๊กตู่

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

สภาอุตฯ เตรียมยื่นหนังสือนายกฯสัปดาห์หน้า ทบทวนค่าไฟไม่เกิน 4.40 บ.ต่อหน่วย