2 เม.ย. 2566 เพจเฟซบุ๊ก ษิทรา เบี้ยบังเกิด เลขาธิการมูลนิธิทีมงานทนายประชาชนฯ ของทนายตั้ม โพสต์ข้อความเกี่ยวกับสวนสาธารณะของนายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ โดยระบุว่า หลายสิบปีก่อนได้ติดตามข่าว “ที่ดินบาเบียร์” ของพี่ชูวิทย์ ที่ให้คนไปรื้อจนถูกดำเนินคดี จำได้ว่าศาลชั้นต้นยกฟ้องพี่ชูวิทย์ ต่อมาศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้จำคุก ก็สู้คดีมาตลอดแต่พอถึงวันฟังคำพิพากษาศาลฎีกา จู่ๆ พี่ชูวิทย์ก็แถลงรับสารภาพ!!
ตอนนั้นจำได้ผมพึ่งเป็นทนายได้ไม่นาน การที่จู่ๆ จำเลยปฎิเสธมาตลอด จะรับสารภาพตอนนั้นก็งงเหมือนกัน ทำได้ด้วยเหรอ แล้วศาลจะลดโทษให้ไหม?
หลายคนอาจจะเคยได้ยินทนายรุ่นเก่าๆพูดว่า การรับสารภาพเพราะจำนนต่อหลักฐาน ส่วนมากศาลจะไม่ลดโทษให้ คำนี้ติดหูผมมาก ระหว่างที่ศาลเลื่อนอ่านคำพิพากษาไปนั้น นักกฎหมายสมัยนั้นก็วิจารณ์เรื่องนี้กันไปต่างๆนาๆ บ้างก็ว่าไม่น่าจะทำได้ บ้างก็ว่าเป็นสิทธิของจำเลย
พอถึงวันฟังคำพิพากษาปรากฎว่าศาลฎีกาลดโทษให้ โดยเหตุผลหนึ่งคือ จำเลยได้มีการนำที่ดินพิพาทไปทำประโยชน์เป็นสวนสาธารณะให้ประชาชนทั่วไปใช้ได้ โดยไม่ได้นำที่ดินไปทำธุรกิจแสวงหาผลกำไรอีก บ่งบอกว่าจำเลยรู้สึกสำนึกผิด นับว่ามีเหตุปราณี เห็นสมควรกำหนดโทษใหม่ให้เหมาะสม พิพากษาแก้จากจำคุก 5 ปี ให้เหลือแค่ 2 ปี ไม่รอลงอาญา ได้ลดโทษมา 3 ปี เหนาะๆ เพราะให้ที่เป็นสาธารณะประโยชน์
ผมถึงรู้สูตรนี้ว่า จำเลยสามารถกลับคำให้การชั้นฎีกา และลดโทษได้ ถ้ามีเหตุผลดี ๆ ก็เลยลักจำเอาคดีที่ทนายของพี่ชูวิทย์ใช้วิชาขั้นเทพนี้มาประยุกต์ใช้บ้าง