ต้องบอกว่าเป็นแบบนั้นจริงๆ สำหรับพรรคเพื่อไทย (พท.) ไม่รู้เป็นช่วงพระศุกร์เข้าพระเสาร์แทรกหรือพรรคคอกแม้ว อยากลุยไฟการเมืองก่อนเลือกตั้งหรืออย่างไร เพราะจู่ๆไฟเขียวให้ “เสี่ยนิด” เศรษฐา ทวีสิน แคนดิเดตนายกฯของพรรคประกาศนโยบายสวัสดิการของพรรค “ดิจิทัลวอลเลต” ระหว่างเปิดปราศรับใหญ่ในงาน ‘คิดใหญ่ ทำเป็น เพื่อไทยทุกคน’ ตอน ‘One Team for all Thais : หนึ่งทีมเพื่อไทยทุกคน’ ณ ธันเดอร์โดม สเตเดียม เมืองทองธานี 5 เม.ย. 2566 ที่ผ่านมา
งานนี้เศรษฐาจัดหนักจัดเต็มเพราะประกาศว่าจะเอาความรู้ความสามารถทั้งหมดที่เคยมีในแวดวงธุรกิจลงมาทำงานการเมืองในคราวนี้แบบทุ่มสุดตัว ” ภายใต้นโยบายของพรรคเพื่อไทย เราอาศัยเทคโนโลยีผ่านดิจิทัลวอลเลตให้นำไปซื้อของใช้ในชีวิตประจำวันได้ เติมเงินให้กับคนไทยที่มีอายุ 16 ปีขึ้นไปทุกคน ใช้ในรัศมี 4 กิโลเมตรจากที่อยู่ตามบัตรประชาชน และต้องใช้ให้หมดภายใน 6 เดือน คราวก่อนไม่ได้บอกตัวเลข พรรคเพื่อไทยเราคิดใหญ่เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจชุมชนในประเทศ เราจะเติมเงินดิจิทัลเป็นจำนวนหนึ่งหมื่นบาท อยู่ในมือถือทุกคนไม่จำเป็นต้องพกเงินสดอีกต่อไป ” เศรษฐาขายฝันกลางเวที นโยบายนี้จะก่อให้เกิดการหมุนเวียนในชุมชน ร้านค้าจะขายของได้มากขึ้น ผู้ผลิตทั้งเอสเอ็มอี โรงงานอุตสาหกรรมจะขายสินค้าได้มากขึ้น จะทำให้เศรษฐกิจกลับมาติดเครื่องอีกครั้ง นำไปสู่การเพิ่มค่าแรง เพิ่มรายได้ให้กลับประชาชน รัฐบาลจะได้รายได้กลับมาในรูปแบบของภาษี เป็นการยกระดับเศรษฐกิจของประเทศทั้งระบบ
เศรษฐากับแกนนำเพื่อไทยออกมาจุดพลุเรื่องนี้ คงหวังจะให้เป็นไม่เด็ดในช่วงเลือกตั้ง ที่ทุกปีทุกครั้งในช่วงที่มีการเลือกตั้งเพื่อไทยคอกแม้วจะต้องมี “ไม้เด็ด” มีนโยบายประชานิยมแบบนี้ ออกมาทำการตลาดหาเสียงกับชาวบ้านทุกครั้งไป ก่อนหน้านี้ก็มีเรื่องกองทุนหมู่บ้าน 30 รักษาทุกโรค รถคันแรก จำนำข้าว ฯลฯ มารอบนี้เลือกตั้ง 14 พ.ค.2566 เพื่อไทยคอกแม้วก็ปล่อยเติมเงินดิจิทัลคนละหมื่นบาทออกมาอีก ใครจะด่าจะว่ายังไงเพื่อไทยไม่สนคอกแม้วไม่แคร์เพราะหาเสียงด้วยแนวทางเบบนี้มาตลอด ตีหัวเข้าบ้านหวังผลได้ นโยบายหวือหวาหลายคนชอบแต่ทำให้ประเทศเป็นหนี้มหาศาลขนาดไหนมีภาระงบประมาณมากเท่าไหร่เพื่อไทยคอกแม้ว “โนสน โนแคร์” อยู่แล้ว แม้จะมีการทักท้วงหลายฝ่ายออกมาว่าอาจทำให้เกิดการสูญเสียงบประมาณมหาศาล รวมถึงอาจซ้ำรอยโครงการจำนำข้าวที่ทำให้รัฐต้องจ่ายหนี้หัวโต กลายเป็นโครงการหนี้สูญต้องจ่ายหนี้เป็นเงินล้านล้านบาทแต่เพื่อไทยคอกแม้วก็ไม่สนใจ เพราะเดินหน้าหาเสียงกับโครงการนี้แบบไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหม ทั้งที่การแจกเงินจริงต้องแจกให้คนไทยกว่า 50 ล้านคน ใช้งบประมาณมหาศาลกว่า 500,000 ล้านบาท
งานนี้เศรษฐากับเพื่อไทยเลยกลายเป็น “ตำบลกระสุนตก” แบบเต็มๆ เพราะโดนฝ่ายค้านฝ่ายตรงข้ามแม้แต่พวกเดียวกันขั้วเดียวกันยังออกมาถล่มยับกับนโยบายแจกเงินแบบซี้ซั่วรอบนี้ ความจริงโดยยุทธศาสตร์เพื่อไทยก็เป็นพรรคอันดับ 1 ตลอดกาลทุกการเลือกตั้งอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นการจะหยิบจะจับทำอะไรทุกครั้งก็ต้องถูกเพ่งเล่งมากเป็นปกติ ลำพักหาเสียงธรรมดาพวกก็จ้องด่าจ้องจับผิดอยู่แล้ว มาเที่ยวนี้ดันมาเสนอนโยบายหาเสียงคาบลูกคาบดอก ขายฝันสุดโต่ง ประชานิยมสุดฤทธิ์ การตลาดสุดเบอร์แบบนี้ จึงไม่แปลกที่จะถูกพรรคคู่แข่งรุมกระทืบจมดิน ยิ่งนโยบายมันชัดว่าล่อแหล่มไม่ต้องพิสูจน์ก็รู้ว่าเจ๊งแหง๋ๆ รอบนี้เศรษฐาเพื่อไทยคอกแม้วเลยกลายเป็นเป้านิ่งถูกขึงพรืดแบบเต็มๆ ” บางประเทศก็ล้มไปทั้งยวง ธนาคารก็ลงทั้งหมด สิ่งสำคัญคือสิ่งที่เอามาพูดกันวันนี้ ตนไม่อยากไปแตะต้องใครแต่จะต้องระมัดระวังอย่างที่สุด เพราะไม่ว่าจะใช้เงินลักษณะใดก็ตามจะต้องมีเม็ดเงินจริงอยู่เสมอ พูดลอยๆเท่าไหร่ก็ได้ แต่มันมีงบประมาณที่อยู่ในคลังมีเงินสำรองอยู่ในคลังพอหรือเปล่า ถ้าไม่พอมันเสี่ยง” พล.อ.ประยุทธ์ระบุ ด้านไพบูลย์ นิติตะวัน รองหัวหน้าพลังประชารัฐมือกฎหมายชิดตัวลุงป้อมก็ออกมาสับแหลกนโยบายประชานิยมแบบสุดขั้ว ” คิดว่ามีปัญหาร้ายแรงมาก จะทำให้เกิดปัญหาในข้างหน้า ประชาชนต้องใช้วิจารณญาณในการพิจารณาด้วย เพราะการเสนอในลักษณะดังกล่าวเมื่อถึงเวลาปฏิบัติจริงต้องมีกฎหมายรองรับ แต่ปรากฏว่าไม่มีกฎหมายรองรับ เมื่อไม่มีกฎหมายรองรับจะต้องนำเสนอกฎหมายเข้าสู่สภา ซึ่งการแจกเงินในลักษณะหว่านแหไปทั่วหมด ขนาดมหาเศรษฐี คนร่ำรวย คนมีงานมีการทำ มีเงินหลายแสนก็ได้เงินเหมือนกันหมด เป็นแนวทางที่ไม่ควรจะเกิดขึ้นในนโยบายของพรรคการเมือง …..เชื่อว่าจะได้รับการต่อต้านในสภาอย่างมาก ทั้งในสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา และเชื่อว่าวุฒิสภาไม่เห็นด้วยกับแนวทางนี้ ซึ่งหากวุฒิสภาไม่เห็นด้วยกฎหมายนี้จะถูกยับยั้ง หรือหากผ่านไปเรื่องก็จะถึงศาลรัฐธรรมนูญ ก็คิดว่าศาลจะพิจารณาว่าไม่สามารถดำเนินการได้” ไพบูลย์จัดหนัก
ด้าน “ผู้กอง” ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า แกนนำพลังประชารัฐที่ปกติก็ไม่ค่อยอัดเพื่อไทยที่เป็นพันธมิตรกันแต่รอบนี้ก็อดออกมาเหน็บนโยบายขายฝันของเซลล์แมนขายบ้านไม่ได้ “ผมเองก็พยายามเก็บข้อมูลว่าเป็นอย่างไร เพราะพี่น้องประชาชนถามมา แต่ว่าปัญหาของพี่น้องประชาชนโดยเฉพาะชาติพันธุ์ที่อยู่ตามที่ราบสูง มีปัญหารัศมีห่าง 4 กิโลเมตรจะไปใช้ที่ไหน” ผู้กองเย้ย ล่าสุดเป็นคิวของ เกียรติ สิทธีอมร อดีตประธานผู้แทนการค้าไทยและผู้สมัคร ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อพรรค ปชป. ที่่ออกมาแถลงข่าวตั้งข้อสังเกต 5 เรื่องเกี่ยวกับเรื่องนี้ หนึ่งในนั้นยิงตรงไปถึงเศรษฐาและอดีตธุรกิจในอุ้งมือคือแสนสิริแบบตรงๆ ” ทำไมต้องเป็นเงินดิจิทัลเพราะทราบมาว่า บริษัท แสนสิริ จำกัด เข้าไปซื้อหุ้นบริษัท เอ็กซ์สปริง แคปปิตอล จำกัด (XPG) เมื่อปี 2021ซึ่งเป็นธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ และธุรกิจทรัพย์สินดิจิทัล ทำไมบังเอิญแบบนี้ และทำไมต้องบังคับคน 80% ให้ต้องใช้เงินดิจิทัล” เกียรติออกมาจี้ใจดำแต่ดูเหมือนจะเป็นประเด็นเคลี่คลายความสงสัยที่ทำให้คนไทยถึงบางอ้อ ว่าทำไมเศรษฐาถึงออกมาเขย่ามาเสนอเรื่องนี้แบบสุดตัว
ล่าสุดเกี่ยวกบนโยบายนี้ ชาวเน็ตได้ไปย้อนคำกล่าวของอดีตนักโทษหนีคดีอย่างทักษิณ ชินวัตร ที่เคยวิพากษ์วิจารณ์พล.อ.ประยุทธ์ ในรายการ CARE Talk เมื่อวันที่ 15 มี.ค.2565 เกี่ยวกับการแจกเงินให้กับประชาชนในทำนองว่า “เติมเศรษฐกิจให้แข็งแรง ทำอะไรกระตุ้นเศรษฐกิจ เอาเงินไปแจกผมว่าปัญญาอ่อน ถ้ามีปัญญาเขาไม่แจก เขาใช้เงินไปสร้างเศรษฐกิจ ให้เศรษฐกิจแข็งแรง หรือยังขายวัคซีนไม่จบ…” โทนี่กล่าวไว้ จนถึงตอนนี้ไม่รู้ลืมหรือยังว่าเคยพ่นน้ำลายด่าคนอื่นไว้อย่างไร ว่าแต่เขาอิเหนาเป็นเอง ด่าคนอื่นไว้สารพัดถึงเวลาก็ใช้วิธีเดียวกันแต่ดูอุบาทว์ และมีแนวโน้มจะทำให้ประเทศมีหนี้ก้อนโตมากกว่า เผลอจะตามรอยจำนำข้าวไปติดๆ ตอนนี้หลายคนก็เริ่มผวา ถ้าเพื่อไทยเป็นรัฐบาลเศรษฐาได้เป็นนายกฯจริง ถ้าแจกเงินกันมโหฬารแบบนี้ รัฐบาลต่อไปใช้หนี้กันตายโหงรอบก่อนยุคยิ่งลักษณ์จำนำข้าวก็ล้านล้านบาท รอบนี้ถ้าเจอเศรษฐาอีก 5 แสนล้านบาทอีก ชั่วลูกชั่วหลานก็จ่ายกันไม่จบ ออกนโยบายหาเสียงเอามันส์ไม่สนสี่สนแปดอะไรแบบนี้ ไม่รับผิดชอบไม่มียางอาย พรรคอื่นคิดไม่ได้ต้องพรรคทุนนิยมสามานย์ พรรคโคตรโกงเท่านั้นถึงจะเล่นแร่แปรธาตุคิดนโยบายประชานิยมสุดโต่งแบบนี้ออกมาได้ ต้องรอลุ้นว่า 14 พ.ค.2566 คนไทยจะเอากับเศรษฐาไหมเงินดิจิทัล 1 หมื่นบาท แลกกับเป็นหนี้ตลอดชาติชั่วกัปชั่วกัลป์
////////////////////
