ยำใหญ่ “อุ๊งอิ๊ง-เศรษฐา” เห็นใจแดงสูญเสีย “สันติสุข” จัดให้ต้องรู้สำนึกด้วย..ใครทำ?

ยำใหญ่ "อุ๊งอิ๊ง-เศรษฐา" เห็นใจแดงสูญเสีย "สันติสุข" จัดให้ต้องรู้สำนึกด้วย..ใครทำ?

ถือเป็นประเด็นใหญ่ จากกรณีแกนนำพรรคเพื่อไทย โดยเฉพาะ “อุ๊งอิ๊ง” แพทองธาร ชินวัตร และ เศรษฐา ทวีสิน 2 แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี ออกมาเคลื่อนไหว แสดงอารมณ์ ความรู้สึก ถึงเหตุการณ์ 10 เมษายน 2553 แสดงความเห็นใจการสูญเสียมวลชนคนเสื้อแดง โดยไม่นำเสนอข้อมูลอย่างรอบด้าน โดยเฉพาะต้นเหตุทำให้เกิดความรุนแรงในขณะนั้น

ล่าสุด รายการข่าวเป็นข่าว ช่องท็อปนิวส์ โดย สันติสุข มะโรงศรี และ พรสวรรค์ จารุพันธ์ นำเสนอประเด็นดังกล่าว เริ่มต้นจากการกล่าวถึง เศรษฐา ทวีสิน ทวีตข้อความ “ครบรอบ 13 ปี 10 เมษา 53 ขอแสดงความเสียใจต่อผู้สูญเสีย ให้กำลังใจทุกคนผู้ต่อสู้เพื่อสิทธิ เสรีภาพ ความเสมอภาคเท่าเทียม และขอประณามทุกความรุนแรงที่ผู้มีอำนาจกระทำต่อประชาชน สิ่งเหล่านี้จะไม่มีทางเกิดขึ้นในรัฐบาลเพื่อไทย และการอำนวยความยุติธรรม เป็นหน้าที่ของรัฐบาลเช่นกัน #13ปีเราไม่ลืม”

พร้อมย้ำว่านี่คือแฮชแท็กที่ถูกนำมาใช้กันทั้งพรรคเพื่อไทย เพื่อหวังผลทางการเมืองในการหาเสียงกับคนเสื้อแดง หลังจาก นายจตุพร พรหมพันธุ์ วิทยากรคณะหลอมรวมประชาชน เคยออกมาลากไส้ ให้เห็นเบื้องลึก เบื้องหลัง และก่อนไปสมัครรับเลือกตั้งส.ส. ก็มีคนเสื้อแดงออกมากล่าวโจมตีแกนนำพรรคเพื่อไทยว่าเป็นพวกของปลอม

ประเด็นหลักคือแม้ว่าสิ่งที่นายเศรษฐา ทวีตข้อความการแสดงความเสียใจต่อผู้สูญเสีย จะเป็นสิ่งสามารถจะกระทำได้ เพราะเป็นการแสดงความเห็นอกเห็นใจเพื่อร่วมมนุษย์ แต่ต้องไม่ลืมว่าเหตุการณ์ 10 เมษา เป็นเรื่องที่คนไทยทุกคนไม่ต้องการให้เกิดขึ้น เพราะความสูญเสียมีทั้งฝ่ายเจ้าหน้าที่รัฐและฝ่ายของประชาชน รวมไปถึงกองกำลังชุดดำที่มาปฏิบัติการ

แต่ข้อความที่นายเศรษฐา กล่าวอ้างว่า สิ่งเหล่านี้จะไม่มีทางเกิดขึ้นในรัฐบาลเพื่อไทย อันนี้คือการนำประเด็นการเมืองเข้ามาสวมแบบเนียนๆ คำถามแล้วเป็นความจริงหรือไม่ เพราะเป็นการพูดเสมือนหนึ่งว่า ในยุครัฐบาลพรรคเพื่อไทยไม่เคยมีประชาชนออกมาชุมนุมแล้วต้องตาย ความจริงนายเศรษฐาอาจจะลืมไป ตอนที่กปปส.ได้มีการชุมนุมในยุครัฐบาลเพื่อไทยทักษิณคิดเพื่อไทยทำ มีการเสียชีวิตของประชาชนมากกว่า 30 ราย นี่คือข้อมูลที่มีการรวบรวมไว้ มากถึง 27 ศพ

 

โดยก่อนที่จะเกิดการรัฐประหาร วันที่ 17 ม.ค.57 มีเหตุการณ์ปาระเบิดบริเวณ ถนนบรรทัดทอง ระหว่างมวลชนกปปส.เดินผ่านจู่ๆ มีคนนำระเบิดมาปาใส่ และก็มีเหตุการณ์รอบยิงด้วยอาวุธสงครามกลางเมืองอีกหลาย 10 ครั้ง และในแต่ละครั้งก็มีประชาชนบาดเจ็บล้มตาย เข้าใจว่านายเศรษฐาอาจจะลืมหรือมองไม่เห็นความเป็นมนุษย์ของคนเหล่านี้หรือไม่ เพราะช่วงกปปส.ชุมนุม นายเศรษฐาได้เคยมีการโพสต์ภาพตัวเอง แสดงออกในลักษณะดูแคลนการเคลื่อนไหวของกปปส.

 

 

 

จนมาถึงวันที่ 19 ม.ค. 57 ในยุครัฐบาลเพื่อไทย ยังคงเกิดเหตุคนร้ายปาระเบิด อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ และหลังจากนั้นยังเกิดเหตุประชาชนถูกฆ่าตายอีกมาเรื่อย ๆ นี่คือความรุนแรงที่เกิดขึ้น แล้วนายเศรษฐากลับบอกว่าสิ่งเหล่านี้ ไม่มีทางเกิดขึ้นในรัฐบาลเพื่อไทย ทั้ง ๆ ที่ข้อเท็จจริง ไม่เหมือนอย่างที่นายเศรษฐาพยายามจะหาเสียงอยู่ตอนนี้

 

 

กลับมาที่ นางสาวแพทองธาร ชินวัตร แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี พรรคเพื่อไทย และหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย ก็ได้ทวีตข้อความผ่านทวิตเตอร์ ว่า “13 ปีแล้ว วันแรกของการส่งทหารเข้ายึดพื้นที่และใช้กระสุนจริงกับประชาชน มีผู้เสียชีวิตและผู้บาดเจ็บจำนวนมาก 13 ปี 10 เมษายน 13 ปีเราไม่ลืม”

“ถึงวีรชนผู้ต่อสู้ทุกท่าน ไม่มีวันไหนที่พวกเราจะลืม และขอยืนยันว่าจะเรียกร้องให้คืนความยุติธรรมแก่ผู้เสียสละ เหตุการณ์นี้จะเป็นบทเรียนต่อการทำงานของพวกเราในอนาคต เราสูญเสียไปมากกว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว”

 

 

 

ขณะที่ “โบว์” ณัฏฐา มหัทธนา นักกิจกรรมนักเคลื่อนไหวทางการเมือง ได้ทวิตข้อความ ระบุถึงประเด็นนี้ด้วยว่า “ผ่านไป 13 ปี บางคนออกมาโพสต์ รำลึกวันสลายการชุมนุมเป็นครั้งแรก ในชีวิต .. ใกล้เลือกตั้งอะเนอะ” “บางคนในที่นี้ คือ นักการเมืองนะคะ”

 

 

ข่าวที่น่าสนใจ

อันนี้ก็คือข้อเท็จจริง ที่ต้องพูดต้องนำเสนอข้อมูลให้ครบถ้วน ว่าในช่วงปี 53 เวลาที่คนเสื้อแดง กำลังจะเคลื่อนไหวใหญ่ จะมีข่าวว่าคนในครอบครัวชินวัตร มีธุระต้องเดินทางไปต่างประเทศทุกครั้ง และเมื่อมีทวิตดังกล่าว คนในโลกโซเชียลก็ออกมาตอบโต้ในโลกออนไลน์ดุเดือดมาก แม้กระทั่งคนเสื้อแดงเอง ยังตั้งคำถามว่า แล้วช่วงนั้นนางสาวแพทองธารทำอะไรอยู่ แล้วช่วงนั้นพ่อนางสาวแพทองธาร ทำอะไรอยู่ แล้วหลังจากนั้นพ่อนางสาวแพทองธารทำอะไรอีก

ยกตัวอย่างเช่น ช่วงรัฐบาลยิ่งลักษณ์ นายทักษิณก็เคลื่อนไหวอยู่รอบๆ และเป็นที่มาการผลักดันกฎหมายนิรโทษกรรมสุดซอย ซึ่งตอนหาเสียงก็ไม่ได้บอกว่าจะออกกฎหมายนิรโทษกรรม แก้ไขไม่แก้แค้น คล้ายๆกับสิ่งที่เป็นอยู่ในช่วงการเลือกตั้งปัจจุบัน

แล้ววันนี้ลูกสาวนายทักษิณออกมาบอกว่ารำลึกถึงเหตุการณ์ ในขณะที่พ่อในช่วงนั้นไปโผล่หน้าที่กัมพูชา “ผ่านมา 13 ปี ลูกสาวอยากจะเป็นนายกฯ อยากจะให้พรรคกลับมาครองอำนาจ เพราะนายทักษิณอยากจะกลับประเทศ แล้วออกมาทวีตข้อความ 13 ปีแห่งความสูญเสีย ซึ่งถ้ามองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในประเทศไทยปี 52 และ ปี 53 จะเห็นภาพเหตุการณ์ชัดเจนว่า ใครที่มีส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนจากต่างประเทศ โดยเฉพาะนายทักษิณ ได้มีการวีดิโอลิงค์มายังเวทีของคนเสื้อแดงต่อเนื่อง ตั้งแต่ช่วงเหตุการณ์ปี 52 พอไม่สำเร็จ ก็เดินหน้าต่อมาปี 53 ล้มการประชุมอาเซียน”

โดยในช่วงนี้มีการเปิดคลิปการชุมนุมของคนเสื้อแดง ปี 2553 ที่มีการใช้ความรุนแรงด้วยอาวุธสงคราม ทั้งการเผาบ้านเผาเมือง และยังบอกอีกว่าจะต่อสู้อย่างสันติ แต่ขัดแย้งกับความจริงถูกเปิดเผยออกมา ให้เห็นการขับรถพุ่งชนเจ้าหน้าที่ พร้อมกับยั่วยุให้กลุ่มผู้ชุมนุมใช้อาวุธลุกขึ้นต่อสู้ รวมถึง นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ยังประกาศอย่างชัดเจนว่า “ถ้าพวกคุณยึดอำนาจ พวกผมเผาทั่วประเทศ” “เผาไปเลยพี่น้อง ผมรับผิดชอบเอง” รวมทั้งขึ้นเวทีปราศรัยของ นายอริสมันต์ พงศ์เรืองรอง ประกาศว่า “มาเติมน้ำมันเอาข้างหน้า ถ้าเรามา 1 ล้านคนใน กรุงเทพมหานคร มีน้ำมัน 1 ล้านลิตร รับรองว่า กทม.เป็นทะเลเพลิงอย่างแน่นอน”

 

 

ตามมาด้วยคลิปเมื่อวันที่ 10 เม.ย. 53 แสดงให้เห็นภาพกองกำลังติดอาวุธชุดดำ ถือปืนลากผ่านแนวของการชุมนุมแล้วเอามายิงทหาร พร้อมย้ำว่านั้นคือการฆ่าทหารกลางเมือง แล้วใช้แนวหลังคือประชาชนเป็นเสมือนโล่ เพราะทหารจะใช้ยุทธวิธีตอบโต้ก็ทำได้ไม่ถนัด ได้แต่ยิงถอย ยิงถอย ตรงข้ามกับกองกำลังในกลุ่มผู้ชุมนุมใช้อาวุธจริงยิงทหาร และมีอีกหลายจุด มีการใช้อาวุธสงคราม จากกลุ่มคนในพื้นที่ของฝ่ายผู้ชุมนุม เพราะฉะนั้นการด่วนสรุปว่าเป็นวันที่ทหารลากอาวุธสงครามมา ราวกับทหารเป็นฝ่ายฆ่าประชาชน เป็นเรื่องไม่ถูกต้อง แต่มีสิ่งตรงข้ามเกิดขึ้นกลายเป็นวันเปิดตัวกองกำลังชุดดำ โดยมีกองกำลังติดอาวุธจริงอยู่ในพื้นที่ของฝั่งผู้ชุมนุม นั่นเป็นที่มาของเหตุ “มิคสัญญี” ไทยฆ่าไทย

 

 

อย่างที่ เก่ง เมธี อมรวุฒิกุล หรือ ณชิต อำนาจเดชานนท์ คนติดตาม พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล หรือ เสธ.แดง ระบุว่า เป็นคนเอาปืน ยิง ฮ.ของทหารในวันนั้น “ผมโมโห ผมก็วิ่งไปหลังเวทียิงเฮลิคอปเตอร์” นี่คืออีกหนึ่งการยอมรับ ว่า ไม่ใช่การชุมนุมแบบสงบปราศจากอาวุธ แต่การชุมนุมปี 2553 เต็มไปด้วยความรุนแรงในทุกมิติ

 

 

 

ตรงข้ามกับอีกด้าน จากอารมณ์ ความรู้สึกของ นางนิชา หิรัญบูรณะ ธุวธรรม รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายบริหาร ภรรยาของ พล.อ.ร่มเกล้า ธุวธรรม เคยระบุว่า “ในสถานการณ์ความไม่สงบในปี 52 หรือ 53 หน้าที่ของทหารคือมารักษาความสงบ ไม่ได้มารบกับใคร นี่คือประโยคที่พี่ร่มเกล้าพูดเอาไว้ ก่อนที่จะถึงเหตุการณ์ค่ำวันที่ 10 เม.ย. คงไม่มีใครคิดว่าสถานการณ์มันจะรุนแรง ร้ายแรง ต่อให้คิดในทางร้ายอย่างไร

ดิฉันเองก็คิดไม่ถึงว่ามันจะมีการใช้อาวุธสงครามร้ายแรงกันถึงขนาดนั้น เชื่อว่าทางพี่ร่มเกล้าและทหารเอง ก็คงคิดไม่ถึงเหมือนกันว่าเขาจะต้องมาตายด้วยอาวุธสงครามกลางอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย เป็นความสูญเสียครั้งใหญ่และเป็นบทเรียนครั้งใหญ่ ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ ดิฉันก็หวังว่าคงจะไม่มีใครทำแบบนั้น ความสูญเสียนั้นมันไม่ใช่กับฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง มันเป็นความสูญเสียของทุกคน เป็นความสูญเสียร่วมกันของคนไทยทุกคน”

 

ช่วงท้าย สันติสุข ย้ำว่าข้อเท็จจริงทั้งหมด มันเป็นหนังคนละเรื่องกับที่อุ๊งอิ๊งพยายามกำลังปั่นกระแส ซึ่งแม้จะเป็นเหตุการณ์เดียวกัน แต่ในความทรงจำแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง แล้วความจริงมีเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น แ ละทุกวันนี้คำตัดสินคดีต่างๆก็เริ่มทยอยออกมาแล้ว ศาลพิพากษาคดีสังหาร พล.อ.ร่มเกล้า ศาลยกฟ้องจำเลย เพราะไม่มีหลักฐานมัดว่าจำเลยคนนี้คือคนสังหาร แต่ในคำพิพากษาระบุชัดว่ามีกองกำลังชุดดำมีอาวุธสงครามจริง ศาลเลยยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้จำเลย

 

ขณะที่วันดีคืนดี 13 ปีผ่านไป ลูกสาวอดีตนายกฯหนีคดีทุจริตอยู่ต่างประเทศ ร่วมรำลึกถึงเหตุกาณ์ ทั้งที่ก่อนหน้านี้ไม่เคยมาอินังขังขอบ แล้วให้ข้อมูลเพียงเสี้ยวเดียว เราเลยจำเป็นที่จะต้องนำเสนอข้อเท็จจริงเพิ่มเติมให้เห็นว่า มันเป็นประวัติศาสตร์บาดแผลของสังคม พี่น้องที่สูญเสียวันนั้นเจ็บปวดไม่แพ้กัน แล้วใครล่ะที่ปลุกเร้า มีการสูญเสียทั้ง 2 ฝ่าย เพราะฉะนั้นเหตุการณ์นี้กลับถูกนำเสนอแต่เพียงฝ่ายเดียวว่าเป็นการสังหารประชาชน

และอดีตประธาน นปช. อย่าง จตุพร พรหมพันธ์ เคยแฉว่าคนเหล่านั้น เคยหลอกคนเสื้อแดงอย่างไรบ้าง หลอกคนมาตาย แล้วพยายามใช้ความสูญเสียเป็นเงื่อนไขทางการเมืองอย่างไรบ้าง แล้วคุณทักษิณตอบโต้อะไรไม่ได้เลยแม้แต่อย่างเดียว คุณณัฐวุฒิเงียบหมดเลย แล้ววันนี้ลูกสาวนายใหญ่ออกมาทวีตข้อความ เขาหวังอยากจะได้คะแนนนิยม ในขณะที่เกิดเหตุครอบครัวเขาอยู่ไหน หลังเกิดเหตุครอบครัวเขาอยู่ไหน คนก่อเหตุอยู่ในคุก แต่คนที่ท่านสู้เพื่อเขา เขาไปอยู่ไหนกัน และในช่วงไทยเผชิญวิกฤตโควิด คนเหล่านี้ทำอะไรอยู่บ้าง เห็นแต่การขัดแข้งขัดขา ด้อยค่าวัคซีน สารพัดอย่าง จนผ่านวิกฤตมาใกล้เลือกตั้งอยากกลับบ้าน ตอนแรกบอกจะกลับมาโดยไม่ต้องติดคุก พอกระแสตีกลับ บอกจะกลับมารับโทษ ใครเชื่อบ้าง เพราะถ้าจะกลับมาต้องกลับมาก่อนตั้งแต่เลือกตั้งแล้ว???

 

 

 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ข่าวล่าสุด

เวียงแหงโมเดล! เยาวชนคนรุ่นใหม่ One Young World เครือซีพี ปักธง FIGHT หมอกควันชายแดนไทย-พม่า เรียนรู้-ชวนชุมชมร่วมลด PM 2.5
ทิพยประกันภัย จับมือ NT ลงนาม MOU พัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการ เพื่อตอบโจทย์กลุ่มลูกค้ายุคดิจิทัล
กรมวิทย์ฯ บริการ มอบของขวัญปีใหม่ประชาชน 2568 ..ฟรี !! ฝึกอบรมเสริมทักษะด้าน วทน. ฟรีค่าธรรมเนียมยื่นขอการรับรองทุกขอบข่าย เสริมความสามารถของห้องปฏิบัติการไทยสู่สากล
"ณเดชน์-เบลล่า" ขึ้นแท่นดาราแห่งปี "หมูเด้ง" ข่าวเด่นแห่งปีของจริงกลบทุกกระแส
เซเว่นฯ เดินหน้านโยบาย “2 ลด ลดพลาสติก ลดพลังงาน" เพื่อสิ่งแวดล้อม 24 ชม. เชิญชวนคนไทย ลดใช้พลาสติกแบบใช้ครั้งเดียวทิ้ง
“ภูมิธรรม”คาด 4 ลูกเรือไทยได้รับการปล่อยตัว 4 ม.ค. นี้ ยืนยันกลาโหม-กองทัพไม่ได้อ่อนแอ
ฮาร์บินเปิด ‘สวนสนุกน้ำแข็ง-หิมะ’ จีนใหญ่สุดในโลก
ทรัมป์เสนอยูเครนสละดินแดนเพื่อยุติสงคราม
โฆษกกห. ยัน ไม่ได้ปิดด่านชายแดนจังหวัดตาก แค่สกัดโรค อุดช่องทางธรรมชาติ
“พิพัฒน์” ลุยปฏิรูป “ก.แรงงาน” ก้าวใหม่สู่ยุค AI สร้างทักษะพัฒนาฝีมือ ดูแลสวัสดิการทุกมิติ

ดู LIVE รายการ

X

เราใช้ คุ้กกี้ เพื่อให้ทุกคนได้ประสบการณ์การใช้งานที่ดียิ่งขึ้น