ลุ้นค่าไฟลด งวดพ.ค.-ส.ค. เหลือ 4.70 บาทต่อหน่วย คาดอนุฯกกพ.หารือศุกร์นี้

ลุ้นค่าไฟลด งวดพ.ค.-ส.ค. เหลือ 4.70 บาทต่อหน่วย คาดอนุฯกกพ.หารือศุกร์นี้

สืบเนื่องจากการประชุม คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) เมื่อวันที่ 22 มีนาคม 2566 มีมติเห็นชอบค่าเอฟทีงวด เดือนพ.ค. – ส.ค.66 เป็นอัตราเดียวกันสำหรับบ้านที่อยู่อาศัย และผู้ใช้ไฟฟ้าประเภทอื่นๆ เท่ากับ 98.27 สตางค์ต่อหน่วย ทำให้ค่าไฟฟ้าเฉลี่ยรวมอยู่ที่ 4.77 บาทต่อหน่วย

จากงวดเดือนม.ค. – เม.ย. 2566 ที่ผู้ใช้ไฟฟ้าประเภทบ้านอยู่อาศัย จ่ายค่าเอฟที 93.43 สตางค์ต่อหน่วย (ไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) และผู้ใช้ไฟฟ้าประเภทอื่นๆ จ่ายในอัตรา 154.92 สตางค์ต่อหน่วย(ไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) ทำให้ผู้ใช้ไฟฟ้าประเภทบ้านอยู่อาศัย จ่ายค่าไฟฟ้าในอัตรา 4.72 บาทต่อหน่วย และผู้ใช้ไฟฟ้าประเภทอื่นๆ เช่น ภาคธุรกิจ ภาคอุตสาหกรรม ต้องจ่ายค่าไฟฟ้าในอัตรา 5.33 บาทต่อหน่วย

อย่างไรก็ตาม สำหรับค่าไฟฟ้าในงวดเดือนพ.ค.-ส.ค.66 นี้ ภาคประชาชน ได้ออกมาสะท้อนว่า อยากให้ภาครัฐปรับลดค่าไฟฟ้าลง เพื่อแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายในช่วงฤดูร้อน ที่ภาคครัวเรือนมีการใช้ไฟฟ้าเพิ่มมากขึ้น ขณะที่ทางทางภาคธุรกิจ โดย คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ได้ขอยื่นหนังสือถึงพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในฐานะ ประธานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ให้ทบทวนค่าไฟฟ้างวดนี้ให้ต่ำกว่า 4.40 บาทต่อหน่วย นั้น

ล่าสุด วันนี้ 20 เม.ย.66 นายคมกฤช ตันตระวาณิชย์ เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (สำนักงาน กกพ.) เปิดเผยกับทีมข่าว TOPNEWS ระบุว่า ล่าสุด ทางการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย(กฟผ.) ได้ทำหนังสือยืนยันที่จะมีส่วนช่วยทำให้ค่าไฟฟ้าลดลง 7 สตางค์ โดยเสนอขอรับภาระยืดหนี้การชำระค่าไฟฟ้าที่รับภาระแทนประชาชนไปก่อน จากประมาณ 35 สตางค์ต่อหน่วย เป็น 28 สตางค์ต่อหน่วย ซึ่งจะมีผลให้ค่าไฟฟ้างวดเดือนพ.ค.-ส.ค.66 ลดลงมาที่ 4.70 บาทต่อหน่วย

โดยเรื่องดังกล่าว ได้นำเข้าที่ประชุมกกพ. เมื่อวานนี้ (19 เม.ย.66) ซึ่งที่ประชุมระบุว่า ถ้ากฟผ.ยืนยัน และพิจารณาแล้วว่า ไม่มีปัญหาทางด้านฐานะการเงิน กกพ.ก็จะรับเรื่องนี้ไปพิจารณาตามขั้นตอน

 

ข่าวที่น่าสนใจ

นายคมกฤช ระบุว่า หลังจากนี้ จะส่งเรื่องกลับไปที่อนุกรรมการ กกพ. ซึ่งมีหลายหน่วยงานร่วมพิจารณา อาทิ กระทรวงการคลัง สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ ซึ่งคาดว่าจะมีการนัดประชุมได้ในวันที่ 21 เม.ย.นี้ จากนั้น จะนำเรื่องเข้าสู่ที่ประชุม กกพ. ในวันที่ 26 เม.ย.66 อย่างไรก็ตาม กกพ.ต้องมาดูว่า หากเข้าที่ประชุมกกพ.แล้ว อาจจะต้องกลับไปรับฟังความคิดเห็นเพิ่มเติมหรือไม่ และถ้ารับฟังความคิดเห็นจะใช้เวลานานเท่าไหร่ ซึ่งไม่น่าจะมีปัญหาเนื่องจากเป็นผลดีกับประชาชน โดยระยะเวลาสั้นสุด 1 สัปดาห์ก็เคยทำ

“เบื้องต้น ให้อนุกรรมการผ่านมาก่อน ถ้าไม่ผ่าน ก็เข้ากกพ. อยู่ที่เหตุผลของการผ่าน ไม่ผ่านคืออะไร สุดท้าย final decision ที่กกพ.พุธหน้า ก็จะดูว่าต้องรับฟังความเห็นไหม ถ้ารับฟังจะนานเท่าไหร่ จะมีประเด็นพิจารณาเพิ่มเติมอีกไหม”

ผู้สื่อข่าวถามว่า ค่าเอฟทีดังกล่าว จะสามารถลดได้มากกว่านี้หรือไม่ นายคมกฤช ระบุว่า เรื่องนี้อยู่ที่กฟผ. เนื่องจากเป็นการลดในส่วนที่ชำระหนี้คืนกฟผ. ไม่ได้ลดในส่วนอื่น เนื่องจากมีการพิจารณาตามหลักการแล้ว อย่างไรก็ตาม ต้องไม่ให้กระทบต่อฐานะการเงินของรัฐวิสาหกิจด้วย

ผู้สื่อข่าวถามว่า ขณะนี้ ประชาชนต่างออกมาระบุว่าได้รับความเดือดร้อนจากค่าไฟที่เพิ่มขึ้น ในส่วนของกกพ. มีความเห็นอย่างไร นายคมกฤช ระบุว่า ข้อเท็จจริงตั้งแต่ปลายปี 64 ก๊าซธรรมชาติขาด ปรับลดลงมา ซึ่งนโยบายพยายามตรึงค่าเอฟทีไว้ และเมื่อปริมาณก๊าซฯ ลดลง ส่งผลให้ต้องนำเข้า และต่อมา ก๊าซแพงขึ้นจากสงครามรัสเซีย ยูเครน จากหลายปัจจัยส่งผลให้ ติดหนี้ มาตลอด ต้นทุนแพงกว่าข้อเท็จจริงมาตลอด ส่งผลให้หนี้สะสมของกกฟผ. ขึ้นมาเป็นแสนล้านบาท ทั้งนี้ เนื่องจากประเทศไทย ก๊าซในอ่าวฯ ไม่มา ถ้าก๊าซในอ่าวมาเท่าเดิม ค่าไฟไม่ขึ้นเยอะขนาดนี้ อาจจะขึ้นแค่ 10-20% ซึ่งได้รับผลกระทบเช่นเดียวกับประเทศอื่นๆ อย่าง สิงคโปร์ ญี่ปุ่น เป็นต้น

 

ส่วนกรณีที่หน้าร้อน ค่าไฟแพง นายคมกฤช ระบุว่า ที่คนบอกว่าพฤติกรรมการใช้ไฟฟ้าเหมือนเดิม เปิดใช้ไฟ เปิดแอร์ เหมือนเดิม ทำค่าไฟแพงขึ้นนั้น ในส่วนนี้ถ้าเปรียบเทียบ 1 ชั่วโมงเท่ากันหน้าร้อนเทียบกับหน้าหนาว หน้าร้อนจะกินไฟมากกว่า เพราะคอมเพรสเซอร์ทำงานมากกว่า นี่คือข้อเท็จจริง อยากให้ประชาชนเข้าใจ

ด้าน กฟผ. เปิดเผยว่า ปริมาณการใช้ไฟฟ้าสูงสุดในระบบ กฟผ. ปี 2566 เกิดเมื่อวันที่ 19 เม.ย.66 เวลา 22.24 น. = 32,224.6 เมกะวัตต์ (MW) อุณหภูมิ 31 องศาเซลเซียส

ขณะที่ก่อนหน้านี้ นายวัฒนพงษ์ คุโรวาท ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) คาดว่า ปี 2566 ความต้องการใช้ไฟฟ้าสูงสุด (Peak) จะอยู่ที่ประมาณ 34,000 เมกะวัตต์ จากอากาศร้อนมีความต้องการใช้ไฟฟ้ามากขึ้น และ เศรษฐกิจมีการเติบโต รวมถึงปริมาณนักท่องเที่ยวเข้ามาท่องเที่ยวมากขึ้น และภาคบริการต่างๆ ก็เพิ่มขึ้นด้วย

 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ข่าวล่าสุด

"พิชัย" หารือ "รมต.พาณิชย์-อุตสาหกรรม" บาห์เรน ยกระดับสัมพันธ์การค้า จัดทำ FTA เชื่อม 2 ปท.
‘ซัวเถา’ จัดมหกรรมดอกไม้ไฟสุดยิ่งใหญ่รับตรุษจีน
เม็กซิโก-แคนาดา-จีนประกาศสงครามการค้ากับสหรัฐ
ทรัมป์ไฟเขียวกำแพงภาษีแคนาดา เม็กซิโกและจีนแล้ว
สรุปผล 47 นายกอบจ. "เพื่อไทย" คว้าชัย 10 ที่นั่ง "ภูมิใจไทย" 9 สู้สูสี "ปชน." ได้แค่ 1 ที่
ผู้โดยสารดับยกลำจากเหตุเครื่องบินกู้ชีพตกที่สหรัฐ
ทบ.ร่วม สตช. ประสานเมียนมา ช่วยเหยื่อแก๊งคอลเซ็นเตอร์ชาวฮ่องกง 1 ราย
พรรคปชน.ช้ำ! ส่งเลือกตั้งนายกอบจ.17 จังหวัด คว้าชัยแค่ลำพูน
รวมไทยสร้างชาติ คว้าชัยนายกอบจ. 5 จังหวัด
"นิด้าโพล" เผยคนกรุงฯส่วนใหญ่ ชี้ขึ้นฟรีรถไฟฟ้า-เมล์ขสมก.ลดฝุ่นไม่ได้ผล มาตรการรัฐขาดประสิทธิภาพ

ดู LIVE รายการ

X

เราใช้ คุ้กกี้ เพื่อให้ทุกคนได้ประสบการณ์การใช้งานที่ดียิ่งขึ้น