เมื่อวันที่ 23 เมษายน 2566 เวลา 18.00 น. ที่สวนสาธารณะเทศบาลนครแหลมฉบัง ต.ทุ่งสุขลา อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายสุชาติ ชมกลิ่น รองหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ได้นำทีมผู้สมัคร ส.ส.ชลบุรี พรรค รทสช.ขึ้นเวทีปราศรัยช่วยนายสมเจตน์ เกตุวัตถา หรือ นายกเจตน์ ผู้สมัคร ส.ส.ชลบุรีเขต 6 เบอร์ 9 ชูผลงานและนโยบายของพรรครวมไทยสร้างชาติที่ทำเพื่อพี่น้องประชาชน ซึ่งมีการถ่ายทอดสดผ่านเฟสบุ๊คแฟนเพจของ สุชาติ ชมกลิ่น ด้วย โดยบรรยากาศเป็นไปอย่างคึกคัก มีแฟนคลับของนายสุชาติและพรรค รทสช.ชาวนิคมอุตสาหกรรมแหลมฉบังต่างพร้อมใจกันเดินทางมารับฟังการปราศรัยอุ่นหนาฝาคั่งหลายพันคนเต็มพื้นที่สวนสาธารณเทศบาลนครแหลมฉบัง จ.ชลบุรี
โดยช่วงแรก นายสุชาติได้ขึ้นเวทีปราศรัยกล่าวทักทายกับพี่น้องชาวนิคมอุตสาหกรรมแหลมฉบัง
และได้แนะนำตัวนายมานิตย์ พรหมการีย์กุล ประธานสภาองค์การลูกจ้างยานยนต์แห่งประเทศไทย ที่มีบทบาทสำคัญอยู่ในนิคมอุตสาหกรรมยานยนต์และคลุกคลีกับพี่น้องผู้ใช้แรงงานมากว่า 40 ปี เป็นที่รู้จักมักคุ้นของสหภาพแรงงานในโรงงานอุตสาหกรรมยานยนต์เป็นอย่างดี นายสุชาติ ยังได้กล่าวถึงเหตุผลที่ตนตัดสินใจมาอยู่พรรค รทสช.เพราะ พล.อ.ประยุทธ์ แต่งตั้งตนเป็นรัฐมนตรีแรงงาน ไว้วางใจให้โอกาสเข้ามาดูแลช่วยเหลือพี่น้องผู้ใช้แรงงาน ดูแลพี่น้องชาวชลบุรี ตนเป็นคนชลบุรีอยู่แล้ว ช่วงที่โควิดระบาดเป็นวิกฤตของประเทศ วิกฤตของครอบครัว ไม่รู้ว่า ส.ส.คนอื่นหายไปไหน มีเพียงตนและทีมเฮ้งพึ่งได้ที่ทำหน้าที่ในฐานะ ส.ส.ชลบุรี เขต 1
ลงพื้นที่ไปพบแม่ค้า ฉีดพ่นยาฆ่าเชื้อโควิดและมอบข้าวสาร ไข่ไก่ เครื่องอุปโภคบริโภค เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนแก่พี่น้องประชาชนชาวชลบุรี รู้ว่าเสี่ยงแต่ไม่กลัวว่าตัวเองจะติดเชื้อ แต่สิ่งหนึ่งที่ทำให้ตนและทีมงานไม่กลัว คือ
พี่น้องประชาชนที่เลือกตนเข้ามา คิดเพียงอย่างเดียวว่าถ้าไม่ลงไปช่วยพี่น้องประชาชนแล้วพี่น้องประชาชนจะพึ่งใคร จึงตัดสินใจตั้งทีมงานขึ้นมาหลายชุด คอยรับโทรศัพท์และไปพ่นยาฆ่าเชื้อโควิดให้ทุกบ้าน
นายสุชาติ ได้กล่าวถึงผลงานการแก้ไขปัญหาโควิด-19 จากนโยบายของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ว่าในช่วงที่เกิดโควิดตนไม่เคยคิดที่จะทอดทิ้งพี่น้องประชาชน เพราะพี่น้องประชาชนเลือกตนเข้ามาเป็นผู้รับใช้ประชาชน ไม่ใช่เลือกเข้ามาเป็นเจ้านายประชาชน เป็นสิ่งที่สำนึกตลอดเวลา หลังจากได้รับการแต่งตั้งขึ้นมาเป็นรัฐมนตรีแรงงานในขณะนั้น ปัญหาแรกที่เจอคือการระบาดของโควิดระลอกสองในกลุ่มแรงงานต่างด้าวที่ตลาดกางกุ้ง จ.สมุทรสาคร เมื่อปลายปี 2563 ตนคิดแก้ปัญหานำแรงงานต่างด้าวที่ผิดกฎหมายนำมาขึ้นทะเบียนให้ถูกต้อง ตรวจคัดกรองเจอเชื้อนำไปรักษาภายใน 2 เดือนสามารถเปิดจังหวัดสมุทรสาครได้ปกติ ตนยังคิดนอกกรอบทำโครงการแฟคทอรี่แซนบ็อก ภายใต้หลักเศรษฐศาสตร์ควบคู่สาธารณสุข ที่โรงงานมิชซูบิชินิคมในอุตสาหกรรมแหลมฉบัง ตรวจคัดกรองโควิดแบบ RT- PCR 100 เปอร์เซ็นต์ให้พี่น้องผู้ใช้แรงงาน ถ้าตรวจพบเชื้อนำตัวไปรักษาที่ Hospitel สำนักงานประกันสังคมเช่าโรงแรมกว่า 50,000 ห้องรักษาผู้ประกันตน ที่เหลือขอวัคซีนจากกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งนายกลุงตู่ได้อนุมัติวัคซีนนำไปฉีดให้กับพี่น้องผู้ใช้แรงงานในโรงงาน โดยไม่ต้องปิดโรงงาน พี่น้องผู้ใช้แรงงานจะได้ออกไปทำงานได้โดยไม่นำเชื้อโควิดมาติดคนที่บ้าน มีรายได้ จึงเกิดวัคซีนมาตรา 33 ขึ้นมา ทั่วโลกไม่มีกระทรวงแรงงานใดนำวัคซีนมาฉีดในโรงงานมีเพียงประเทศไทยประเทศเดียวถ้าไม่มีนายกที่ชื่อลุงตู่ ประเทศไทยไม่มีวันนี้ ทั่วโลกต่างยอมรับในการแก้ปัญหาโควิดของไทย ซึ่งเกิดจากความร่วมมือของพี่น้องประชาชน ที่ได้ทำให้ธุรกิจส่งออกสินค้าได้เหมือนเดิม สามารถรักษาการจ้างงานเอาไว้ได้ จนประเทศไทยชิงส่วนแบ่งการตลาดจากประเทศเพื่อนบ้านที่ซัพพลายเชนปิดได้ โดยบริษัทยานยนต์หลายแห่งได้จ่ายโบนัสให้พนักงานสูงสุดถึง 8.5 เท่า เศรษฐกิจส่งออกเติบโตสูงสุดในรอบ 30 ปี สวนทางกับเศรษฐกิจโลก เป็นผลพวงจากโครงการแฟคทอรี่แซนบ็อก
นอกจากนี้ ยังได้เยียวยานายจ้างและผู้ประกันตนในพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด เนื่องจากสถานประกอบกิจการปิดชั่วคราว เช่น ห้างสรรพสินค้า แคมป์คนงาน แต่ไม่ปิดโรงงานทำให้ภาคธุรกิจส่งออกสามารถรักษาการจ้างงานต่อไปได้ ลดเงินสมทบให้แก่ผู้ประกันตนเพื่อรักษาการจ้างงาน 12 ล้านคน รักษาธุรกิจให้สามารถเดินหน้าต่อไปได้ จ่ายเงินเยียวยาผู้ประกันตนมาตรา 40 เฉพาะที่จังหวัดชลบุรี กว่า 7 แสนคน คนละ 10,000 บาท คิดเป็นเม็ดเงินกว่า 7,000 ล้านบาท รัฐบาลให้เงิน SME หัวละ 3,000 บาท สามารถรักษาการจ้างงานไว้ 5.5 ล้านคน การเปิดประเทศฟื้นความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับซาอุดีอาระเบียในรอบ 32 ปี ซึ่งไม่มีรัฐบาลใดทำสำเร็จมีเพียงในยุครัฐบาลที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรีเท่านั้น ซึ่งได้ไปเปิดประเทศเพื่อส่งออกแรงงานฝีมือไปทำงานในซาอุดีอาระเบีย