รศ.หริรักษ์ สูตะบุตร อดีตรองอธิการบดีฝ่ายบริหารบุคคล มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) โพสต์ข้อความบนเฟซบุ๊ก “Harirak Sutabutr” โดยระบุว่า Dr. Agnes Callamard เลขาธิการองค์การนิรโทษกรรมสากลหรือ Amnesty International มาเมืองไทยเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ในช่วงเวลาก่อนการเลือกตั้งทั่วไป และได้แสดงปาฐกถาเกี่ยวกับประเทศไทย ซึ่งคนไทยควรได้รับรู้เพื่อได้รู้จักองค์การระหว่างประเทศนี้ให้มากขึ้น
ความจริงคุณเปลว สีเงินในคอลัมน์ “คนปลายซอย” ได้เขียนเรื่องนี้ ซึ่งครอบคลุมประเด็นต่างๆไว้แล้ว แต่เมื่อได้อ่านข้อความที่ Dr. Callamard แสดงปาฐกถาแล้ว เกิดความอีดอัดจนอดรนทนไม่ได้ ต้องออกมาเขียนตามคุณเปลว สีเงิน อีกคน
ขอนำข้อความส่วนหนึ่งที่ Dr. Callamard ได้แสดงปาฐกถาไว้มาให้อ่านดังนี้
“A highlight of my trip was meeting with young people who have been involved in protests. They believe in Thailand and want to build a strong and fair country. Yet when asked what future they see for themselves, they told me ‘there is no future for us here’. That worries me a lot, and I think it should be of great concern to Thailand’s leaders. Many young people feel that because of repression, inequality, corruption and injustice, they have no future here — and that must change.”
“Hundreds of children and young people, along with political activists and human rights defenders, are facing criminal charges in Thailand simply for exercising their rights to freedom of expression and peaceful protest. Many have been deprived of their liberty and may face the stain of a criminal record, including a 15-year-old who as of my visit to the country was still being held in juvenile detention after several weeks.”
ถอดความในย่อหน้าแรกได้ว่า
“ช่วงสำคัญของการมาเมืองไทยครั้งนี้ คือการพบกับเยาวชนคนรุ่นใหม่ที่เกี่ยวข้องกับการชุมนุมประท้วง พวกเขาต้องการสร้างประเทศที่แข็งแกร่งและเป็นธรรม แต่เมื่อได้ถามว่า พวกเขาได้มองอนาคตของตัวเองไว้อย่างไร เขาตอบว่า ‘ไม่มีอนาคคสำหรับเราที่นี่’ นั่นทำให้ดิฉันมีความกังวลอย่างมาก และคิดว่า ผู้นำประเทศควรมีความห่วงใยอย่างมาก เยาวชนคนรุ่นใหม่จำนวนมาก มีความรู้สึกว่า พวกเขาไม่มีอนาคตก็เพราะการถูกปราบปราม ความไม่เท่าเทียมกัน การทุจริตคอรัปชั่นและความไม่ยุติธรรม และสิ่งเหล่านี้ต้องเปลี่ยนแปลง”
ถอดความในย่อหน้าที่ 2 ได้ว่า
“เด็กๆและเยาวชนเป็นร้อยๆ รวมทั้งนักกิจกรรมทางการเมือง และนักปกป้องสิทธิมนุษยชน กำลังเผชิญกับการถูกดำเนินคดีทางอาญาในประเทศไทย เพียงเพราะการใช้สิทธิ เสรีภาพในการแสดงออก และการประท้วงอย่างสันติ จำนวนมากถูกลลิดรอนสิทธิเสรีภาพและอาจต้องเผชิญกับการถูกบันทึกลงประวัติอาชญากร รวมถึงเด็กอายุ 15 ปี ที่ยังคงถูกคุมตัวอยู่ในสถานพินิจมาเป็นเวลา 2-3 สัปดาห์แล้ว”