ประธานาธิบดีอิบราฮิม ไรซี แห่งอิหร่าน ให้การต้อนรับการมาเยือนของประธานาธิบดีอับดุล ลาตีฟ ราชิด แห่งอิรัก ในการแถลงข่าวร่วมกันที่กรุงเตหะราน แห่งอิหร่าน ไรซีได้กล่าวว่า อิหร่านไม่ถือว่าการมีอยู่ของกองกำลังต่างชาติและชาวต่างชาติในภูมิภาคนี้ จะเป็นเรื่องที่มีประโยชน์ การที่มีสหรัฐอยู่ เป็นการรบกวนความมั่นคงของภูมิภาค ความสัมพันธ์ของอิหร่านกับอิรักตั้งอยู่บนผลประโยชน์ร่วมกัน แต่สหรัฐจะคิดถึงแต่ผลประโยชน์ของพวกเขา ไม่ใช่ผลประโยชน์ของชาวอิรัก อิหร่าน ประชาชนและประเทศในภูมิภาคนี้
สำหรับคำกล่าวของไรซีนั้น สอดคล้องกับที่อาลี คาเมเนอี ผู้นำสูงสุดของอิหร่าน กล่าวกับราชิดในเวลาต่อมาเช่นกันว่า ชาวสหรัฐไม่ใช่มิตรของอิรัก พวกเขาไม่เป็นมิตรกับใคร แม้แต่เพื่อนชาวยุโรปของพวกเขาด้วย อิรักไม่ควรอนุญาตให้มีกองทหารสหรัฐ อยู่ในดินแดนของตนอีกต่อไป ทั้งนี้ อิหร่านและสหรัฐ ต่างพยายามต่างแย่งชิงอิทธิพลในอิรัก โดยสหรัฐได้เริ่มก้าวเข้ามาช่วยโค่นล้มเผด็จการซัดดัม ฮุสเซนในปี 2003 จากนั้น สหรัฐก็ยังคงกำลังทหาร 2,500 นายไว้ในอิรักจนถึงปัจจุบัน ด้วยเหตุผลว่า เพื่อให้คำปรึกษาและช่วยเหลือ ในการประเมินและจัดการกับภัยคุกคามของกลุ่มรัฐอิสลามหรือ IS ซึ่งเข้ายึดพื้นที่บางส่วนของอิรัก ตั้งแต่ปี 2014
อย่างไรก็ดี ราชิดก็ไม่ได้แสดงความเห็นใดๆ เกี่ยวกับการที่อิรักยังมีทหารของสหรัฐอยู่ โดยราชิดกล่าวเพียงว่า ความพยายามหลักของอิรักคือ การกระชับความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นกับอิหร่าน และแก้ไขปัญหาที่ยังหลงเหลืออยู่ระหว่าง 2 ประเทศเท่านั้น ทั้งนี้ แม้ว่าในช่วงทศวรรษที่ 1980 อิรักและอิหร่านจะต่อสู้กันมา 8 ปี แต่ความสัมพันธ์ของทั้ง 2 ประเทศเริ่มดีขึ้นในปี 2003 โดยอิรักได้กลายเป็นเส้นทางเศรษฐกิจที่สำคัญสำหรับอิหร่านที่ถูกคว่ำบาตร ขณะที่อิหร่าน ก็จัดหาก๊าซและไฟฟ้าให้กับอิรัก ตลอดจนสินค้าอุปโภคบริโภคต่างๆด้วย