วันนี้ (7 พฤษภาคม 66 ) ณ กองทุนหมู่บ้านดอนพะธาย หมู่ที่ 2 ตำบลบ้านเสียว อำเภอนาหว้า จังหวัดนครพนม นายอนุชา นาคาศัย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะรัฐมนตรีที่กำกับดูแลสำนักงานกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ (สทบ.) เป็นประธานเปิดงาน “สร้างเศรษฐกิจฐานราก สร้างชาติมั่นคง” ภายใต้โครงการเสริมสร้างเศรษฐกิจฐานราก เพื่อการพัฒนาหมู่บ้านและชุมชนเข้มแข็งอย่างยั่งยืน โดยมี นายวันชัย จันทร์พร ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม นายธัชชญาณ์ณัช เจียรธนัทกานนท์ เลขานุการรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี หัวหน้าส่วนราชการ สมาชิกกองทุนหมู่บ้าน ฯ และสื่อมวลชนร่วมงาน
นายอนุชา กล่าวว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ห่วงใยพี่น้องประชาชน เน้นย้ำให้กระตุ้นเศรษฐกิจฐานราก ซึ่งเป็นตัวบ่งชี้และกำหนดทิศทางเศรษฐกิจของประเทศ การจะทำให้คนในประเทศกินดี อยู่ดี ต้องสร้างความเข้มแข็งให้กลุ่มคนที่อยู่ในฐานราก ให้มีกำลังซื้อ ก่อให้เกิดเงินหมุนเวียน เกิดกระแสการใช้จ่ายในระบบเศรษฐกิจชุมชน เมื่อเศรษฐกิจฐานรากดีขึ้น เศรษฐกิจของประเทศก็มั่นคงแข็งแรง ควบคู่กันไป โดยเฉพาะพี่น้องที่ประกอบอาชีพเกษตรกร-ปศุสัตว์ ในภาคอีสาน ถือว่าโชคดีมาก เพราะเป็นภูมิภาคที่มีจุดแข็งที่สำคัญคือ ได้รับผลประโยชน์จากรถไฟจีน – ลาว ซึ่งเป็นหนึ่งในโครงการที่อยู่ภายใต้ “ข้อริเริ่มหนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง (Belt and Road Initiative: BRI)” ของรัฐบาลจีน ที่ครอบคลุมระยะทางยาวถึง 1,035 กิโลเมตร จากนครคุนหมิงถึงนครหลวงเวียงจันทน์ รถไฟสายนี้ ใช้ระยะเวลาในการขนส่งเพียง 8 ชั่วโมง และเชื่อมโยงการขนส่งสินค้าไปยังประเทศอื่น ๆ ทั่วโลกผ่านโครงการรถไฟจีน – ยุโรป ซึ่งจะส่งผลดีต่อทั้งเศรษฐกิจไทยในภาพรวมและเศรษฐกิจภูมิภาคทั้งในด้านการค้า การลงทุน การท่องเที่ยว และการขนส่ง ที่สำคัญภาคอีสานมี 4 กลุ่มสินค้า ที่มีศักยภาพในการส่งออกมากที่สุด ได้แก่ กลุ่มอาหารแปรรูป กลุ่มปศุสัตว์แปรรูป กลุ่มสินค้าของที่ระลึก และ กลุ่มผลไม้สด เป็นต้น
นายอนุชา กล่าวต่อไปว่า ถือเป็นโอกาสทองของพี่น้องชาวเกษตรกร เพราะจีนให้โควตาวัว 500,000 ตัว/ปี กับลาว ส่งผ่านรถไฟ ซึ่งคาดว่าลาวผลิตไม่ทันต่อความต้องการของตลาดจีน ในส่วนรัฐบาลไทย ได้ส่งเสริมสนับสนุน ทั้งในด้านการเงิน และองค์ความรู้ ให้สมาชิกกองทุนหมู่บ้าน ฯ ในการเลี้ยงวัว ผ่านโครงการ“โคล้านครอบครัว” แถมยังมีเกษตรกรที่ประสบความสำเร็จในการเลี้ยงโค มาแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ แนะนำวิธีการเลี้ยงให้กับสมาชิกกองทุนหมู่บ้าน ฯ ที่สนใจ นี่จึงเป็นโอกาสดีที่ไทยจะสามารถส่งออกเนื้อโคได้เพิ่มขึ้นด้วย ซึ่งจากแนวโน้ม ปี 2561 – 2565 ราคาส่งออกโคมีชีวิต มีแนวโน้มสูงขึ้น ร้อยละ 4.74 ต่อปี โดยเมื่อปี 2565 คาดว่า ราคาส่งออกโคมีชีวิตตัวละ 20,817 บาท สูงขึ้นจากตัวละ 17,807 บาท ของปี 2564 ร้อยละ 16.90 และราคาส่งออกเนื้อโค และผลิตภัณฑ์กิโลกรัมละ 427.42 บาท สูงขึ้นจากกิโลกรัมละ 212.76 บาท ของปี 2564 ประมาณ 1 เท่า ซึ่งแนวโน้ม ปี 2566 นี้ คาดว่าการส่งออกโคมีชีวิต เนื้อโคและผลิตภัณฑ์ เพิ่มขึ้นจากปี 2565 เนื่องจากมีความต้องการโคมีชีวิตจากประเทศเวียดนามและจีนเพิ่มขึ้น รวมถึงความต้องการบริโภคเพิ่มขึ้นด้วย โดยแนวโน้มการบริโภคของจีนและบราซิล เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.83 และร้อยละ 1.02 ตามลำดับ สำหรับสหรัฐอเมริกาและสหภาพยุโรป การบริโภคมีแนวโน้มลดลงร้อยละ 4.15 และร้อยละ 0.85 ตามลำดับ