พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว. กลาโหมมอบหมายให้ นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ตอบคำถามสื่อมวลชนถึงกรณีรัฐบาลมีการสั่งซื้อวัคซีนซิโนแวคเพิ่มเติมว่ารัฐบาลนำเหตุผลจากข้อมูลการวิจัยและการเก็บข้อมูลมารองรับภายหลังจากที่มีการฉีดวัคซีนแบบไขว้ยี่ห้อ ซิโนแวค กับ แอสตราเซเนกา และมีการเก็บข้อมูลจากผลตรวจการสร้างภูมิคุ้มกัน พบว่า ผู้ที่ได้รับการฉีดวัคซีน ซิโนแวค เข็มที่ 1 แล้วไขว้ด้วยวัคซีนแอสตราเซเนกา เป็นเข็มที่ 2 ทำให้ภูมิคุ้มกันป้องกันโควิดขึ้นมาสูงกว่า การฉีดซิโนแวคทั้ง 2 เข็มเป็น 4 เท่าตัว จึงเป็นเหตุผลหนึ่งที่ประเทศไทยทำการฉีดวัคซีนแบบไขว้ผสม เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันสายพันธุ์เดลต้าให้กับประชาชนในระหว่างรอวัคซีน mRNA ที่จะเข้ามาปลายเดือนกันยายนถึงต้นเดือนตุลาคม
ส่วนที่มีการฉีดวัคซีนไฟเซอร์ เข็มที่ 3 เป็นวัคซีนบูสเตอร์ ให้กับบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุขรวมถึงบุคลากรด้านหน้า แต่มีรายงานว่า มีญาติหรือผู้บริหารที่ไม่ใช่บุคลากรด้านหน้าหรือเกี่ยวกับบุคลากรทางการแพทย์มาฉีดนั้น นายกรัฐมนตรี ได้ให้คณะกรรมการสาธารณสุขแต่ละจังหวัดได้สอบสวนและตรวจสอบในเรื่องดังกล่าวแล้วหากพบมีการกระทำความผิดจริงก็ต้องดำเนินการลงโทษตามระเบียบวินัยต่อไปโดยย้ำว่ารัฐบาลไม่มีการให้นโยบายที่จะฉีดวัคซีนไฟเซอร์ให้กับ VIP แต่อย่างใด
สำหรับแผนการฉีดวัคซีนให้กับประชาชนทั่วประเทศจะมีแผนอย่างไรให้เกิดความครอบคลุมทุกกลุ่มตามเป้าหมายอย่างไร นายอนุชาระบุว่าปัจจุบันได้ดำเนินการฉีดวัคซีนให้กับประชาชนล่าสุด ฉีดได้มากกว่า 24 ล้านโดสแล้ว แบ่งเป็นเข็มที่ 1 กว่า 18.37 ล้านโดส เข็มที่ 2 เป็น 5.2ล้านโดส และเข็มที่ 3 บูสเตอร์ให้กับบุคลากรการแพทย์และด่านหน้า กว่า 5แสนโดสแล้ว โดยคาดว่าภายในสิ้นเดือนสิงหาคมนี้จะฉีดได้ทั้งหมดกว่า 30 ล้านโดส โดยขึ้นอยู่กับวัคซีนที่เข้ามาหากมีเพียงพอจะเพิ่มศักยภาพการฉีดวัคซีนได้ครอบคลุมซึ่งในปี 64 นี้มีการยืนยันเรื่องการจัดวัคซีนเข้ามา ให้ได้ 100 ล้านโดส ครบตามเป้าหมาย