ผลการเลือกตั้งอย่างไม่เป็นทางการเริ่มชัดเจนแล้วว่า รัฐบาลชุดใหม่ที่จะเข้ามาทำหน้าที่ในช่วงปลายเดือนกรกฏาคม จะเป็นรัฐบาลขั้วใหม่ภายใต้การนำของพรรคก้าวไกล ซึ่งแน่นอนว่าก้าวไกลมีนโยบายน่าจับตามองพอสมควร โดยเฉพาะที่หลายฝ่ายอาจมองว่าเป็นเรื่องสุดโต่ง
เมื่อไปย้อนตรวจสอบนโยบายเร่งด่วนของก้าวไกลที่เคยประกาศหาเสียงไว้ จะทำให้เห็นภาพชัดเจนว่า ประเทศชาติจะเดินทางไปในทิศทางใด
“ก้าวไกล” เปิดตัวด้วยการชูสโลแกน “300 นโยบายเปลี่ยนประเทศ” โดยมีนโยบายที่ต้องทำทันทีใน 100 วันแรกเมื่อได้เป็นรัฐบาล จากนั้นจะเป็นนโยบายที่สานต่อหลังจากผ่านพ้น 100 วันแรก
ทั้งนี้ก้าวไกลมีนโยบายหลากหลายหากไม่รวมถึงการแก้ไขมาตรา 112 นโยบายที่ถูกมองว่าสุดโต่งคือนโยายเกี่ยวกับความมั่งคงของประเทศ โดยเฉพาะนโยบายปฎิรูปกองทัพ
นโยบายปฏิรูปกองทัพก้าวไกลเขียนไว้ชัดเจนว่า การเมืองไทยตลอด 90 ปีหลังเปลี่ยนแปลงการปกครองเมื่อ 24 มิถุนายน 2475 ทหารและกองทัพเข้ามาแทรกแซงและทำลายพัฒนาการของประชาธิปไตยมาโดยตลอด
ก้าวไกลจึงมีข้อเสนอในการปฏิรูปกองทัพและความมั่นคงด้วยการแยกทหารออกจากการเมือง,ปรับกองทัพให้มาอยู่ภายใต้รัฐบาลพลเรือน, ตั้งผู้ตรวจการกองทัพ, ลดขนาดกองทัพ, ลดจำนวนนายพล, ตัดสิทธิพิเศษที่ไม่เป็นธรรม
นอกจากนี้ยังรวมถึงยกเลิกบังคับเกณฑ์ทหาร, ปฏิรูปการศึกษาทหาร, นำเข้ายุทโธปกรณ์ ต้องจ้างงาน-โอนถ่ายเทคโนโลยี, คืนที่ดินกองทัพให้ประชาชน, คืนธุรกิจกองทัพให้รัฐบาล เพิ่มสวัสดิการทหารชั้นผู้น้อย, ยุบกอ.รมน., ยกเลิกกฎอัยการศึกชายแดนใต้ และยกเครื่องกฎหมายความมั่นคงพิเศษ
มาถึงตรงนี้รัฐบาลก้าวไกลวางเป้าหมายปฏิรูปกองทัพอย่างเบ็ดเสร็จ แต่จะทำสำเร็จหรือไม่เป็นคำถามที่รอคำตอบ เพราะทุกนโยบายเป็นการตัดอำนาจของกองทัพที่เกี่ยวกับความมั่งคงทุกรูปแบบ โดยไม่คำนึงว่า กองทัพคือเสาหลักในการปกป้องรักษาอธิบไตยของประเทศชาติ หากกองทัพอ่อนแอในยามที่ชาติเกิดยุคเข็ญใครจะทำหน้าที่ป้องป้อง ปัดเป่าให้ประเทศ
ที่สำคัญนโยบายปฏิรูปกองทัพของก้าวไกลอาจเป็นการจุดชนวนรอยร้าวของฝ่ายกองทัพกับการเมืองขึ้นมาอีกครั้งหรือไม่ โดยเรื่องนี้ต้องตั้งคำถามกลับไปที่กองทัพว่า คิดอย่างไรกับนโยบายของก้าวไกล