นายสังศิต พิริยะรังสรรค์ สมาชิกวุฒิสภาและอาจารย์ประจำวิทยาลัยนวัตกรรมสังคม มหาวิทยาลัยรังสิต เปิดเผยถึงการออกเสียงโหวตนายกรัฐมนตรี คนที่ 30 ว่า แม้จะเป็นเพียงแค่ 1 เสียงในวุฒิสภา แต่ก็มีจุดยืนคือ จะพิจารณาจากผลประโยชน์ของประเทศชาติเป็นหลัก โดยต้องการดูท่าทีและนโยบายของหัวหน้าพรรคก้าวไกลที่จะเสนอชื่อเป็นนายกรัฐมนตรีในสองประเด็นคือ 1. มีความเห็นต่ออธิปไตย โดยเฉพาะความมั่นคง 2. นโยบายในการลดความขัดแย้งของประชาชนในประเทศ เพื่อสร้างความสุขและความสามัคคี
เรื่องแรก นายสังศิต บอกว่า นโยบายด้านความมั่นคงเป็นสิ่งที่สำคัญ เนื่องจากว่า เวลานี้หลายประเทศเกิดความขัดแย้งถึงขนาดทำสงคราม ไทยต้องวางตัวให้เป็นกลางที่สุดไม่ชักนำศึกเข้าบ้านไม่เอนเอียงไปทางฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ยกตัวอย่าง จีน อเมริกา รัสเซีย 3ประเทศดังกล่าวถือเป็นชาติมหาอำนาจของโลก โดยเฉพาะอเมริกา ที่ เราจะเห็นว่าเข้าไปแทรกแซงการเมืองภายในหลายประเทศ จนผู้คนในประเทศเกิดความแตกแยกขาดความสามัคคี ตนเองอยากดูนโยบาย ด้านความมั่นคงของพรรคก้าวไกลว่าจะดำเนินไปทางไหนภายใต้สถานการณ์โลกในปัจจุบัน
เรื่องที่ 2 นโยบายด้านการลดความขัดแย้ง คืนความสุขให้คนในชาติ นายสังศิต ระบุว่า ยินดีสนับสนุนพรรคการเมืองที่มีนโยบายไม่ส่งเสริมการใช้ความรุนแรงระหว่างประชาชนต่อประชาชน และจะไม่สนับสนุนรัฐบาลที่กระตุ้นหรือปลุกเร้าให้ประชาชนมีพฤติกรรมที่ยั่วยุหรือใช้ความรุนแรงระหว่างกัน เพราะปัจจุบันมีการสร้างแรงยั่วยุเร็วมาก ยกตัวอย่างเช่นใกล้เข้าสู่การเรื่องโหวตนายกรัฐมนตรีมีกลุ่มคนบางกลุ่ม กำลังเข้ามาคุกคามข่มขู่ ส.ว. ซึ่งเป็นสิ่งที่ตนเองรับไม่ได้ ยืนว่า ไม่สนใจว่าใครจะมีเสียงข้างมากหรือเสียงข้างน้อย แต่จะสนับสนุนนายกรัฐมนตรีตามหลักการที่ตั้งไว้
ส่วนเรื่องการแก้ไขมาตรา 112 นายสังศิต ระบุว่า คำว่าประเทศชาติ ไม่ได้มีเพียงแค่ประชาชน แต่ยังหมายความถึงอำนาจอธิปไตย และสถาบันพระมหากษัตริย์ ซึ่งเป็น 3 โครงสร้างหลักที่ทำให้ประเทศไทย มีมาจนถึงทุกวันนี้ ปัจจุบันประเทศไทยไปเชิญปัญหารอบด้านโดยเฉพาะปัญหาเศรษฐกิจปากท้องเชื่อว่า พรรคก้าวไกลและพรรคร่วม ควรจะแก้ปัญหา ปากท้องของประชาชนซึ่งเป็นปัญหาที่สำคัญที่สุดก่อน