ควันหลงแถลงMOUของรัฐบาลเมื่อ 22 พ.ค.2566 ที่ผ่านมา ปรากฎว่าเกิดการปะทะขบเหลี่ยมกันระหว่างพรรคไทยสร้างไทย (ทสท.) กับ พรรคเพื่อไทย (พท.) ภายหลังจากที่ศิธา ทิวารี แกนนำทสท.ลูกรักของ “เจ๊หน่อย” สุดารัตน์ เกยุราพันธ์ ที่เกิดวิวาทะกันระหว่างการแถลงข่าว MOU ของรัฐบาล 8 พรรค ณ. โรงแรมคอนราดเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา ปรากฏว่าระหว่างแถลงข่าวไม่รู้ศิธาของขึ้นหรือกำลังเห่อว่าจะได้เป็นรัฐบาลจนตัวสั่น ถึงขั้นสวมบทสื่อมวลชน (ทั้งๆที่ความจริงไม่ใช่หน้าที่ไม่ใช่เรื่อง) ดันไปสอบถามพิธากับแกนนำทั้ง 8 พรรคว่าเป็นไปได้หรือไม่ที่ทั้งหมดจะลงนาม Advance MOU ในลักษณะที่สูงขึ้นหรือมั่นคงกว่านี้อีก ไม่ใช่ลงนามในเรื่องนโยบายในอนาคตที่ทั้งหมดจะเดินหน้าผลักดันร่วมกัน แต่จะเป็นการลงนาม MOU ในลักษณะผูกมัดระหว่าง 8 พรรค แต่ตัวศิธาขมวดถึงพรรคใหญ่ 2 พรรคคือ “ก้าวไกล-เพื่อไทย” ต้องไปไหนไปไกล อ้างว่าเพื่อรักษาคะแนนนิยมของฝ่ายประชาธิปไตยที่เลือกสองพรรคนี้มาสูงสุดเพื่อให้มาจัดตั้งรัฐบาล
มองมุมดีก็ต้องบอกว่าศิธาอาจหวังดีอยากให้ฝ่ายรัฐบาลใหม่จับมือกันได้จริงๆ ท่ามกลางกระแสข่าวว่าเพื่อไทยอาจมีการ “พลิกขั้ว” หรือรอเสียบ “จังหวะสอง” หากพิธาไม่ได้โหวตนายกฯหาเสียงส.ส.กับส.ว.ไม่ได้มากกว่ากึ่งหนึ่งของสองสภาหรือ 376 จาก 750 คน เพื่อไทยก็จะได้ความชอบธรรมในการตั้งรัฐบาลในการเสนอชื่อนายกฯ ที่ในสำรับของตัวเองก็มีอยู่ 3 คน คือ “อุ๊งอิ๊ง-เศรษฐา-ชัยเกษม” ประเด็นนี้แแหละที่น่าจะทำให้ศิธากลัวว่าถ้าเปลี่ยนแกนนำรัฐบาลจาก้าวไกลไปเป็นเพื่อไทยแล้ว ไทยสร้างไทยของตัวเองจะไม่มีที่ยืนจะถูกเขี่ยพ้นรัฐบาล ศิธาเลยต้องออกตัวแรงแทนแม่และพลพรรคไทยสร้างไทย คือ ตีกินไว้ก่อน พยายามหาช่องผูกมัดให้ก้าวไกลกับเพื่อไทยไม่แตกจากกัน ท่ามกลางกระแสข่าวว่าเขี้ยวรากดินตัวพ่ออย่างเพื่อไทย ที่มีนายห้างดูไบอย่างทักษิณ เตรียมรอวัน ว.เวลา น. อยู่แล้ว ถ้าพิธาตกม้าตายในวันโหวตเพื่อไทยจะพลิกเกมส์ไปไปเป็นแกนนำรัฐบาล แบบสวยๆ ใครก็ด่าไม่ได้ เพราะ หนึ่งไม่ได้แย่งก้าวไกล สองสนับสนุนให้เป็นแกนนำรัฐบาลมาตลอด สามแต่เพราะก้าวไกลไม่มีปัญญาหาพวกเอง เพราะเล่นหยุมหัวด่าพ่อล่อแม่คนอื่นมาตลอด เพื่อนน้อยศัตรูบานเบอะ เป็นกรรมของพิธาและก้าวไกลเอง ที่เสือกทำตัวเป็นพรรค “เทวดา” ชอบด่าชอบปั่นไอโอชอบสร้างภาพกับคนอื่นๆ ถึงเวลาก็ไม่มี “มิตรแท้” คอยสนับสนุน บอกเลยว่าเพื่อไทยที่เป็นพรรคเฒ่าเจ้าเล่ห์ก็เล่นบทหนุนเด็กใหม่อย่างก้าวไกลไปแบบนั้นแหละ ล้มมาเมื่อไหร่ก็จะได้เห็นธาตุแท้ พรรค “เพื่อแม้ว” ของจริง แต่งานนี้ทำให้ชลน่านโกรธจนลุกเป็นไฟเพราะศิธามาดักคอแบบรู้ทัน เลยสวนกลับว่าเสียมารยาท
วกกลับมาที่ศิธาที่ออกตัวแรงเพราะกลัวเพื่อไทยเป็นรัฐบาลจนเก็บอาการไม่อยู่ ตัวเองไม่ได้เป็นนักข่าว ตัวเองไม่ได้เป็นแกนนำสองพรรค ตัวเองไม่ได้เป็นพรรคใหญ่ในการจัดตั้งรัฐบาล แค่พรรคหกคนริอาจผยองมาขีดเส้นให้คนอื่นทำนู้นทำนี้ ภาษาใต้เรียกคนแบบนี้ว่า “ทำท้าว” ภาษากรุงก็บอกว่า “เสือก” ไม่เข้าเรื่อง ธุระไม่ใช้อย่าไปประเจ้อ พูดออกมาแบบนี้เหมือนไปจี้ใจดำเพื่อไทย ไปแบไต๋ขั้วแดง อุตส่าห์ตีเนียนๆร่วมรัฐบาลกับก้าวไกล จู่ๆ จะเสนอจับมัดมือให้อยู่ด้วยกันไปตลอดใครจะบ้าไปเอาด้วย เพราะโอกาสพลิกมันมีโอกาสรอจังหวะสองมันยังไม่หมด ศิธาอาจโชว์ว่ากูรู้ทันเลยไปดักคอเพื่อไทยแบบนี้ ซึ่งมันไม่ใช่เรื่องเสียหายถึงรัฐบาลก้าวไกลหมด ยังไม่ทำงานยังไม่บริหารประเทศเลย ก็กัดกันยังกะหมา ศิธากับคนในพรรคคงกลัวมากหากก้าวไกลไม่ได้เป็นแกนนำรัฐบาล เพราะไทยสร้างไทยกับเพื่อไทยเป็นไม้เบื่อไม้เมากันมาตลอด ถ้าเพื่อไทยได้เป็นแกนนำรัฐบาล พิธาเจ๊หน่อยกลับบ้านเก่าแน่นอน ก่อนหน้านี้ที่บอกทักษิณแตกเป็นพันเป็นแบงค์ร้อย ไฟเขียวให้เจ๊หน่อยออกมาตั้งไทยสร้างไทย วันนี้ก็ชัดเจนไม่ได้ยุทธศาสตร์นะแต่หมั่นไส้อยากไล่ไปจริงๆ ใครอยู่การเมืองมานาน ตามเพื่อไทยมาตลอดจะรู้ดี ว่าเพื่อไทยแม้คนเป็นใหญ่สุดคือทักษิณ แต่อำนาจจริงๆอยู่ที่ 3 เจ้าแม่ หนึ่งคือนายหญิงพจมาน ณ ป้อมเพชร สองคือเจ๊ใหญ่เยาวภา วงศ์สวัสดิ์ สามคือน้องเล็กเจ๊ปูว์ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ต้องบอกเลยว่าทั้ง 3 สาวใหญ่เกลียดเจ๊หน่อยสุดๆ ไม่เอาเลยกับสุดารัตน์ ก่อนหน้านี้ก็ระหองระแหงกันมาตลอด ทั้งเรื่องความสัมพันธุ์ส่วนตัว เรื่องแย่งชิงอำนาจ เรื่องตั้งมุ้งในเพื่อไทย
เจ๊หน่อยก็ธรรมดาที่ไหน “ตัวแม่” เขี้ยวรากทางการเมืองไม่เป็นสองรองใคร ผ่านร้อนผ่านหนาวมาอย่างโชกโชน จะยอมให้ 3 สาวใหญ่ในเพื่อไทยมาหยุมหัวมาข่มเหงมารังแกกันได้อย่างไร ที่ผ่านมาทั้ง 2 ฝ่าน เลยขบเหลี่ยมชิงธงนำห่ำหั่นกันมาตลอด โดยมีทักษิณคอยเป็นกาวใจให้ประสานประโยชน์ให้ไม่ทะเลาะถึงขั้นแตกหักกัน เพื่อให้เพื่อไทยมีอำนาจมีแกนนำที่ทรงพลังมากที่สุดในสนามการเมืองไทย แต่พอทักษิณไม่อยู่โทนี่โดนปฏิวัติ ดุลย์อำนาจในเพื่อไทยก็เปลี่ยนไป ไม่มีกั้นชนรองรับการกระแทกจากสองฝ่าย สุดท้ายก็ชนกันแบบเต็มๆ เจ๊หน่อยคนน้อยกว่า บารมีในพรรคอ่อนกว่า ไหนเลยจะสู้ 3 เจ๊สาวใหญ่ในเพื่อไทยได้ นานวันถูกรุมสกรัมหลายเรื่อง แถมตอนหลังคิดการใหญ่อยากครองพรรค ที่สุดก็เลยโดนรัฐประหารในเพื่อไทยบีบให้หมดอำนาจ ตัดแขนตัดขาลูกน้องในพรรคทั้งหมด หลอกให้เป็นแคนดิเดตนายกฯ หลอกจะให้ลงผู้ว่าฯกทม. ลดบทบาทลดอำนาจในพรรค สุดท้ายบีบให้เจ๊หน่อยไม่มีที่ยืน ที่สุดเจ๊หน่อยก็ต้องลาออกจากพรรคแบบเจ็บช้ำ หิ้่วกระเป๋าออกจากบ้านทั้งน้ำตา ทิ้งพรรคเก่าแก่ที่ร่วมทุกข์ร่วมสุขบุกเบิกกันมากับทักษิณ จนต้องมาตั้งไทยสร้างไทยพาขุนพลใกล้ชิดติดตัวออกมาทั้งหมด ทั้งจาตุรนต์ ฉายแสง พงศกร อรรณพร ณัฐวุฒิ ไสยเกื้อ ประภัศร์ จงสงวน ฯลฯ แต่ทั้งหมดก็ถูกทักษิณใช้สารพัดวิธีเรียกกลับมาหมด คงเหลือที่อยู่กับเจ๊หน่อยก็มีแค่ โภคิน พลกุล พงศ์เทพ เทพกาญจนา ต่อพงศ์ ไชยสาส์น ศิธา ทิวารี อนุดิษฐ์ นาครทรรพ ฯลฯ
ระหว่างไทยสร้างไทยกับเพื่อไทย ไม่มีทางที่จะประสานเพราะแย่งชิงพื้นที่ แย่งชิงมวลชนกันมาตลอด เจ๊หน่อยกับทักษิณไม่มีทางเผาผีกัน ไทยสร้างไทยกับเพื่อไทยคงเป็นได้แค่เส้นขนาน มีแต่ความเจ็บช้ำ มีแต่ความเจ็บแค้นระหว่างกัน กรณีพิพาทระหว่างศิธากับชลน่านก็ชัดเจนว่า สองพรรคขบเหลี่ยมกินแหนงแคลงในกันอยู่ มีอะไรลึกๆระหว่างสองพรรคนี้ ทั้งหัวหน้า ทั้งแกนนำ ไม่งั้นไม่ปะทุออกมาแบบนี้ ล่าสุดแม้ศิธาออกมาขอโทษแล้ว ที่เล่นใหญ่เกินเบอร์แต่ชลน่านก็ไม่ยอมจบ ถึงขนาดแสดงออกด้วยสีหน้า พร้อมเปิดใจว่า “ผมเดือด ผมมีอารมณ์ ถ้าชกได้ ผมชกไปแล้ว” ถ้าเพื่อไทยเกิดได้ส้มหล่นเป็นแกนนำรัฐบาล บอกได้เลยว่าเจ๊หน่อยปลิวก่อนไทยสร้างไทยจะถูกเขี่ยไปเป็นฝ่ายค้านร่วมกับก้าวไกล รวมไทยสร้างชาติ อย่างแน่นอน น้ำกับน้ำมันไม่มีทางอยู่กันได้ฉันใด เพื่อไทยกับไทยสร้างไทยก็ไม่อาจมาบรรจบกันได้ฉันนั้น นี้แค่หนึ่งตัวอย่างรอยร้าวในรัฐบาลก้าวไกล ที่เริ่มต้นก็กัดกันยังกะหมา ทั้งแกนนำพรรค ทั้งมวลชน ยังมีคู่ “ก้าวไกล-เพื่อไทย” อีก ที่อนาคตรับรองพังแน่นอนเพราะ “เสือกับสิงห์”ไม่มีทางรวมกันได้ “ส้ม-แดง” นับถอยหลังรอวันพังแน่นอน ไว้จะมาเหลาให้ฟังในโอกาสต่อไป
///////////////////////
