“พล.ท.นันทเดช” ฟันธงอนาคตก้าวไกล อาจก้าวได้ไม่ไกล มีว่าที่นายกฯฝักใฝ่สหรัฐฯ ชอบชักศึกเข้าบ้าน

“พล.ท.นันทเดช” ชี้ หาก “พิธา” เป็นนายกฯ แต่ฝักใฝ่สหรัฐ ตอบโต้เมียนมา ถือเป็นการฝ่าฝืนหลักอาเซียน กระทบการค้าชายแดน สมดุลสหรัฐ-จีน ทำได้ยาก ยอมรับสหรัฐมุ่งทำสถาบันพระมหากษัตริย์อ่อนแอลง เตือนถ้าชักศึกเข้าบ้าน ยกเลิก-แก้มาตรา112 เชื่อถูกประชาชนลุกฮือต่อต้าน ส่อปะทะรุนแรง ระหว่างมวลชน กลุ่มรักสถาบัน-กลุ่มสนับสนุน ฟันธงก้าวไกล อาจก้าวไปได้ไม่ไกลแน่

26 พ.ค.66 พล.ท.นันทเดช เมฆสวัสดิ์ อดีตหัวหน้าศูนย์ปฏิบัติการพิเศษ ศูนย์รักษาความปลอดภัยแห่งชาติ(ศรภ.) ได้ให้สัมภาษณ์พิเศษกับช่อง Top News ถึงความพยายามขยายอำนาจของสหรัฐอเมริกา ในประเทศไทย ทั้งด้านความมั่นคงและการเมือง ว่า หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นต้นมาการทำแผนยุทธศาสตร์ด้านความมั่นคงของทุกประเทศได้เปลี่ยนไป

 

 

 

 

โดยอ้างอิงการเคลื่อนไหวของสหรัฐเป็นปัจจัยสำคัญ ว่าเมื่อตั้งรัฐบาลแล้ว สหรัฐจะมีท่าทีอย่างไรต่อเรา จะเป็นมิตรหรือศัตรู อันนี้เป็นการกำหนดยุทธศาสตร์ของทุกชาติในโลก เพราะว่าสหรัฐมีหน่วยข่าวกรองที่ทันสมัยถึง 3 หน่วยในการติดตามการเคลื่อนไหวของทุกประเทศ ซึ่งเมื่อได้ผลจากข่าวกรอง สหรัฐได้นำผลของข่าวกรองนั้นมาเจาะจุดอ่อนและจุดแข็งของแต่ละประเทศ ยกตัวอย่างเช่น ฟิลิปปินส์ อดีตประธานาธิบดีดูเตอร์เต้ ไม่ยอมรับให้สหรัฐมาตั้งฐานทัพ แต่ในที่สุดก็ต้องยอมเพราะตัวเองมีจุดอ่อนเรื่องคอรัปชั่น

 

ต้องมีการเจรจากันกับสหรัฐ จึงให้มาร์กอสขึ้นมาเป็นแทน ในขณะเดียวกันดูเตอร์เต้ ก็ยังมีอำนาจอยู่ นี่เป็นนโยบายของสหรัฐต่อกลุ่มประเทศในเอเซียน สาเหตุที่สหรัฐทำเพราะสหรัฐฯมี 2 ยุทธศาสตร์สำคัญคือหนึ่งสหรัฐฯมียุทธศาสตร์ ด้านเศรษฐกิจที่พึ่งพาสงครามและการรบนอกประเทศ ซึ่งทั้งสองนโยบายสอดคล้องกัน จึงพยายามทำให้ทุกประเทศพึ่งพาสหรัฐเป็นส่วนใหญ่ และการทำให้สหรัฐมีฐานทัพอยู่ทั่วโลกจึงเห็นได้ว่าสหรัฐฯมีฐานทัพอยู่ 20 กว่าแห่งทั่วโลก

ข่าวที่น่าสนใจ

ขณะเดียวกัน สิ่งสำคัญประเทศไทยเป็นศูนย์กลางของอาเซียนมีแนวโน้มที่ประเทศไทยจะวางตัวเป็นกลางโดยไม่เข้าข้างสหรัฐ และก็ไม่เข้าข้างจีน แต่สหรัฐต้องการกดดันและหารัฐบาลที่มาเข้าข้างสหรัฐ รัฐบาลชุดใหม่ถ้านายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ มาเป็นนายกรัฐมนตรี จึงมีแนวโน้มที่มีแนวคิดสอดคล้องกับสหรัฐอเมริกา เช่น นายพิธา เคยเรียกร้องให้มีการยุติสงครามรัสเซียกับยูเครน หรือการแสดงท่าทีไม่ดีต่อรัฐบาลเมียนมา และให้ความสำคัญกับประเทศไต้หวันมากกว่าจีน โดยรับนโยบายต่าง ๆ ที่ไต้หวัน ใช้มาหาเสียง

จึงพอจะกล่าวได้ว่าหากนายพิธาขึ้นมาเป็นนายกฯ นโยบายการต่างประเทศ ส่วนใหญ่ก็จะคล้อยตามสหรัฐอเมริกา ซึ่งต้องยอมรับว่าการบาลานซ์หรือทำให้สมดุลของความสัมพันธ์ ที่ไทยมีต่อสหรัฐและจีนจะทำให้สมดุลนั้นลำบาก เมื่อดูเหตุการณ์ของทูตสหรัฐเข้าพบกับกองทัพอากาศ และปฏิเสธการขายเครื่องบิน F-35 ให้กับไทย จึงคิดว่าโดยแท้จริงแล้วถ้านายพิธาขึ้นมาเป็นรัฐบาลสหรัฐอาจจะกลับมาให้เครดิตกับนายพิธา โดยการขายเปลี่ยนใจมาขาย F-35 ให้กับไทยก็เป็นได้ ซึ่งไม่ใช่การปฎิเสธที่แท้จริง

 

 

 

 

 

พล.ท.นันทเดช กล่าวอีกด้วยว่า ยอมรับว่าประเทศไทยเป็นเหมือนประเทศอื่น ๆ ที่ยังให้ความสำคัญด้านข่าวกรองน้อยมาก ประเทศไทย มุ่งแต่จะแก้ปัญหาเฉพาะหน้า ไม่มีการวางแผนยุทธศาสตร์ไว้ล่วงหน้า ขณะเดียวกันสหรัฐได้รวบรวมจุดอ่อนของฝ่ายที่สนับสนุน เช่น หากสหรัฐอเมริกาจะสนับสนุนนายพิธานั้น สหรัฐก็จะต้องรู้และมีจุดอ่อนของนายพิธาอยู่ในมือด้วย นี่คือนโยบายที่จะทำให้สหรัฐผลักดันเศรษฐกิจที่จะเกิดจากสงครามได้ ไม่ใช่แค่การขายยุทโธปกรณ์อย่างเดียว ในเมื่อไทยเกรงใจสหรัฐก็จะยอมให้มีการเผยแพร่วัฒนธรรม ของสหรัฐในไทยมากขึ้นทั้งภาพยนตร์ สินค้าต่าง ๆ ที่จะเข้ามา

ส่วนการใช้พื้นที่เป็นฐานทัพของสหรัฐนั้น พล.ท.นันทเดช มองว่าอาจจะเป็นไปในรูปแบบของการทำสัญญาการใช้พื้นที่ แต่หากเกิดขึ้นจริง ก็จะเป็นปัญหาทำให้ประชาชนลุกขึ้นมาต่อต้านรัฐบาลของนายพิธา ซึ่งจะเป็นปัญหาทำให้สหรัฐต้องแก้ไขว่าจะทำอย่างไรไม่ให้ประชาชนลุกขึ้นมาต่อต้าน

สำหรับความสัมพันธ์ กลุ่มในประเทศอาเซียนเรามีหลักการข้อตกลงร่วมกันว่าจะไม่ยุ่งเกี่ยวต่อกิจการภายในของกันและกัน หากนายพิธาตอบโต้เมียนมาแบบนี้จะกลายเป็นว่านายพิธา ก็ฝ่าฝืนหลักการของอาเซียนและจะทำให้ผลการค้าแนวชายแดนกระทบกระเทือนไปหมด

 

 

 

พล.ท.นันทเดช มองว่า หากนายพิธา ตั้งรัฐบาลได้ และใช้นโยบายในรูปแบบนี้ทั้งหมด นายพิธาจะพบการต่อต้านจากประชาชนเป็นระยะ ๆ เพราะทุกนโยบาย แทบเป็นไปไม่ได้เลย โดยเฉพาะนโยบายเรื่องการยกเลิกมาตรา 112 แม้ไม่มีเสนอใน MOU ก็ตาม แต่นายพิธาก็จะทำอย่างแน่นอนเพื่อเอาใจมวลชนที่สนับสนุนที่หาเสียงไว้ ซึ่งมวลชนในกลุ่มนี้ก็ไม่ได้มีมากนัก หากเกิดเหตุการณ์ขึ้นจริงก็จะมีการเผชิญหน้ากันระหว่างมวลชนกลุ่มที่รักสถาบันและกลุ่มมวลชนของนายพิธา ซึ่งคาดว่าน่าจะเกิดความรุนแรง หากยังยืนยันที่จะทำตามความคิดนี้ต่อไป พรรคร่วมรัฐบาลก็จะถอนตัวออกไป โดยเฉพาะพรรคเพื่อไทย เพราะพรรคเพื่อไทยไม่ได้มีนโยบายที่จะไปถึงขั้นการเคลื่อนไหวที่กระทบต่อสถาบันพระมหากษัตริย์

 

พร้อมกันนี้ พล.ท.นันทเดช เปิดเผยด้วยว่า เดิมสหรัฐอเมริกาสนับสนุนสถาบันพระมหากษัตริย์ของไทยเพื่อจะต่อสู้กับพรรคคอมมิวนิสต์ แต่สถาบันของเราไม่ได้ต่อสู้ด้วยอาวุธแต่ใช้วิธีต่อสู้ด้วยการเข้าไปพัฒนาพื้นที่ต่าง ๆ ซึ่งก็ได้ผล เมื่อถึงเวลาแล้วสหรัฐ กลายเป็นใช้ไทยเป็นฐานทัพสู้กับประเทศรอบบ้านเรา หม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมช ซึ่งเป็นนายกรัฐมนตรีขณะนั้น เห็นว่าเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้องก็ทำการขับไล่ฐานทัพสหรัฐฯ ออกไปจากประเทศไทย จนเป็นผลสำเร็จ

 

 

 

โดยดึงจีนเข้ามาถ่วงดุลอำนาจ ตั้งแต่นั้นมาสหรัฐจึงเห็นว่าสถาบันพระมหากษัตริย์ไทยเป็นสถาบันที่สหรัฐไม่สามารถควบคุมได้ จึงต้องพยายามทำให้สถาบันพระมหากษัตริย์ของไทยอ่อนแอลง ซึ่งกฎหมายมาตรา 112 ในข้อเท็จจริงออกมาในหลักการเดียวกันคือกฎหมายคุ้มครองประมุขของทุกประเทศรวมถึงนักการทูตของทุกประเทศที่อยู่ในประเทศไทย ก็เป็นผลส่วนหนึ่งจากกฎหมายนี้เช่นกัน เนื่องจากทูตของแต่ละประเทศเป็นตัวแทนประมุขของประเทศนั้น การที่มีมาตรา 112 ก็จะทำให้มีการคุ้มครองไปยังทูตของแต่ละประเทศด้วย

หากมีการลดหรือแก้ไขมาตรา 112 ก็จำเป็นจะต้องลดระดับความสำคัญของทูตแต่ละประเทศลงด้วยเช่นกัน และการคุ้มครองทูตในประเทศไทยก็จะไม่มีอีกต่อไป รวมถึงคุ้มครองเจ้าหน้าที่ส.ส. จึงพูดได้ว่ามาตรา 112 เป็นกฎหมาย ที่สำคัญของทุกประเทศ เป็นมาตรฐานซึ่งมีขึ้นเพื่อคุ้มครองตัวแทนประมุขประเทศต่าง ๆ ที่อยู่ในประเทศไทย

 

 

ทั้งนี้ที่ผ่านมา ประเทศสหรัฐเดินงานมวลชนในทุกประเทศทั่วโลกและต้องกดดันให้ทุกประเทศยอม ทั้งการกดดันด้วยเงิน ผ่านองค์กรเอกชนหลายแห่งของสหรัฐในประเทศไทย อย่างน้อย 3 แห่ง คือ

1. กองทุนเพื่อประชาธิปไตย

2. กองทุนโอเพ่นโซไซตี้

3. NLD

 

ทั้ง 3 กองทุนได้เข้ามาสนับสนุนการเคลื่อนไหวการจัดตั้งขบวนการการทำงาน เช่น กระบวนการช่วยเหลือนักศึกษา แม้กระทั่งการเข้ามาสนับสนุน การตั้งร้านขายหนังสือก็มี ลักษณะการเคลื่อนไหวขององค์กรเหล่านี้ทำให้เด็กส่วนหนึ่งไปเข้าใจว่าสหรัฐคือประเทศที่รักและสนใจต่อประชาธิปไตย ทั้งที่จริงแล้ว สหรัฐไม่ได้ระบุว่าจะเห็นด้วยกับประชาธิปไตยหรือเผด็จการ แต่ขอแค่มีผลประโยชน์เท่านั้นเอง ถ้าพลเอกประยุทธ์หรือใครขึ้นมาก็ตามแต่ยอมให้สหรัฐตั้งฐานทัพก็ได้ทั้งหมด การแอบอ้างประชาธิปไตยจึงเป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งของการเคลื่อนไหวของสหรัฐ ซึ่งสามารถตรวจสอบได้ว่าสหรัฐให้เงินแก่องค์กรไหนบ้าง รวมถึงมีการให้ทุนนักศึกษาไปศึกษาในประเทศตะวันตกสำหรับคนที่มีผลงานตอบแทนให้กับสหรัฐ

 

 

 

 

พล.ท.นันทเดช กล่าวอีกว่า ทั้งหมดจะไปโทษว่าสหรัฐอย่างเดียวก็ไม่ถูก เพราะเป็นนโยบายของเขาคือ การรบนอกประเทศและนโยบายเศรษฐกิจจากสงคราม ซึ่งอยู่ที่คนไทยเท่านั้นที่ไม่ชักศึกเข้าบ้าน แต่ปัจจุบันประเทศไทยเราไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด ค้าขายได้ทุกประเทศสหรัฐก็เลยไม่ชอบและไม่ต้องการให้ไทยตกอยู่ในอำนาจของจีน และไทยเป็นศูนย์กลางของอาเซียน อาจมีผลกระทบต่อประเทศในอาเซียนด้วย

 

พล.ท.นันทเดช ฝากถึงประชาชนให้คิดถึงผลประโยชน์ที่เราจะได้หรือจะเสียหากเราเข้าข้างสหรัฐอเมริกาโดยตรงหรือไปทะเลาะกับเพื่อนบ้านโดยตรง เพราะสำหรับประชาชนธรรมดาอาจจะไม่เข้าใจ แต่ถ้าเป็นพ่อค้านักธุรกิจจะรู้ทันทีว่าอยู่ในภาวะอะไรเมื่อเกิดความวิตกกังวล ก็ย่อมส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจภาพรวมด้วย เช่น หุ้นตกมาทั้งสัปดาห์หลังเลือกตั้งนั้น มีนัยยะสำคัญที่นักลงทุนวิตกกังวล เช่น นโยบายค่าแรงขั้นต่ำ 450 บาท การย้ายฐานการผลิตจะเกิดขึ้นทันที ซึ่งการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำไม่ได้หมายความว่าจะไปช่วยคนงานไทย ซึ่งมีส่วนน้อยแต่ส่วนใหญ่เป็นแรงงานข้ามชาติ หากพัฒนาฝีมือแรงงานจะได้รับเงินเดือนค่าจ้างมากกว่าแรงงานขั้นต่ำด้วยซ้ำ

 

 

 

 

 

 

นอกจากนี้ หากนายพิธาไปไม่ถึงฝั่งได้ เป็นนายกฯและตั้งรัฐบาล อาจจะเป็นเพื่อไทยที่มาแทน ซึ่งที่ผ่านมารัฐบาลทักษิณ กับยิ่งลักษณ์เองก็มีแนวโน้มไปทางสหรัฐเช่นกันนั้น พล.ท.นันทเดช มองว่า พรรคพลังประชาชน กับพรรคเพื่อไทยมี ประสบการณ์การบริหารงานการต่างประเทศมาแล้ว 2 รัฐบาลหลังถูกรัฐประหารไป น่าจะพอเรียนรู้อะไรได้บ้างว่าควรต้องทำอย่างไร แต่กับนายพิธาไม่ใช่ ไม่เคยเป็นรัฐบาลมาก่อน ยังไม่เคยมีประสบการณ์ทำงานกับข้าราชการ ไม่เคยรู้ระบบความมั่นคงกลั่นกรองอย่างไร และสิ่งสำคัญคือกลุ่มประเทศอาเซียนต้องไม่ทะเลาะกันและไม่ยุ่งเกี่ยวกิจการของกัน พร้อมมองว่า นายพิธา ก้าวไกล อาจจะก้าวไม่ได้ไกลแน่นอน

 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ข่าวล่าสุด

ครูบาอริยชาติ เกจิภาคเหนือวัดแสงแก้วโพธิญาณ เชียงราย สร้างพระพุทธเมตตา จากหยกรัสเซียใหญ่ที่สุดในโลก น้ำหนักกว่า 10 ตัน
นายกฯ-สามี พา "น้องธิธาร" ลูกสาว วิ่งเล่นสนามหญ้าหน้าตึกไทยคู่ฟ้า
กระทรวงดีอี – ดีป้า เปิดศึกบิน – ซ่อมโดรนเกษตรชิงแชมป์ประเทศไทย ในรายการ “Thailand Agriculture Drone Competition 2024”
รพ.อาภากรเกียรติวงศ์ฯ นำ จนท.ตรวจสารเสพติดทหารใหม่ 2,911 นาย เพื่อค้นหาผู้เสพยาเสพติดเข้าสู่กระบวนการบำบัดรักษา
รถบรรทุกปูนพลิกคว่ำขวางถนนรถติดยาวหลายกิโล
รองนายกรัฐมนตรีลงพื้นที่ติดตามสถานการณ์น้ำภาคอีสาน คุมเข้มแผนบริหารจัดการน้ำ พร้อมเร่งขับเคลื่อนมาตรการแก้ปัญหาภัยแล้ง
เลือกตั้งสหรัฐ: ทั้งสองพรรคมั่นใจว่าจะชนะเลือกตั้ง
แคปซูลส่งกลับ 'เสินโจว-18' ของจีนแตะพื้นโลกปลอดภัย
ผู้เสียหายรวมตัวแจ้งความ "หมอดูฮวงจุ้ยชื่อดัง" เอาผิดฐานฉ้อโกง หลังหลอกให้สั่งซื้อวัตถุมงคลแพงลิ่ว
แวะปั๊มก่อนเลย พรุ่งนี้น้ำมันขึ้นราคา เบนซิน-แก๊สโซฮอล์ ปรับทุกชนิด

ดู LIVE รายการ

X

เราใช้ คุ้กกี้ เพื่อให้ทุกคนได้ประสบการณ์การใช้งานที่ดียิ่งขึ้น