พิธาเหนื่อย…ก้าวไกลหนาว

ถึงชนะเลือกตั้งได้คะแนน 14.2 ล้านคะแนน ถึงจะประกาศตั้งรัฐบาล 8 พรรค 312 เสียง ถึงจะมั่นใจว่าเป็นว่าที่นายกฯคนที่ 30 แต่เส้นทางสู่เก้าอี้สร.1 ทางสู่อำนาจบนตึกไทยคู่ฟ้านั้นแสนสาหัส เพราะโอกาสตกสวรรค์ไปไม่ถึงฝั่งฝันมีสูง กรณีถือหุ้นไอทีวี 4.2 หมื่นหุ้นยังคาราคาซัง ยังต้องลุ้นผลว่าจะออกแบบไหน วิษณุส่งสัญญาณแนวคำตัดสินของศาลมีอยู่แล้ว ย้อนอดีตก่อนหน้านี้ก็มีกรณีสุรโชค ผู้สมัครส.ท.เมืองกาญฯ ไทยภักดี ถือหุ้นช่อง 9 แค่หนึ่งเปอร์เซ็นต์แต่ลืมแจ้ง ยังโดนศาลงโทษเอาผิด ปรับ 2 หมื่น จำคุก 2 ปี ตัดสิทธิ์ทางการเมือง 20 ปี พิธาก้าวไกลยังต้องลุ้นอีกหลายด้านกว่าจะขึ้นสู่อำนาจ

แม้จะประกาศตัวว่าเป็นว่าที่นายกฯคนที่ 30 ตั้งแต่ไก่โห่ ตั้งแต่วันประกาศแถลงจัดตั้งรัฐบาล 8 พรรค 312 คน ไปแล้ว รวมถึงเซ็น MOU แนวทางการทำงานของรัฐบาล และกำลังเดินหน้าแก้ปัญหาเรื่องประธานสภาผู้แทนราษฎรกับการแบ่งเค้กครม.แห่งอนาคต  สำหรับ “ทิม” พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล แคนดิเดตนายกฯของพรรคส้มล้มเจ้า แต่ทั้งหลายทั้งมวลของการเดินหน้าทั้งหมดของพิธาอาจไม่มีค่าไม่มีความหมาย หากเจ้าตัวเองถูกตัดสินว่าขาดคุณสมบัติการเป็นส.ส. มีลักษณะต้องห้ามขัดกับรัฐธรรมนูญกรณีที่ถือหุ้นไอทีวี 42,000 หุ้น ตั้งแต่ปี 2551 ที่ตอนนี้มีการไปร้องให้กกต.ดำเนินการเอาผิดพร้อมส่งเรื่องต่อไปให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย    หยิบเรื่องนี้มาไม่ใช่ต้องการหักหาญน้ำใจ “ด้อมส้ม” ที่มีทั้งเด็ก วัยรุ่น นร. นิสิต นักศึกษา แม้แต่คนแก่ หลายคนชอบพิธา หลายคนชอบแกนนำพรรค หลายคนชอบนโยบาย แต่บอเลยรอบนี้ต้องเผื่อใจไว้มากๆ เพราะโอกาสที่พิธาแม้ชนะการเลือกตั้งมาเป็นอันดับ 1 จาก 14.2 ล้านเสียงกวาดส.ส.มา 151 คน แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าพิธาจะได้เป็นนายกฯ จะได้เป็นสร.1 ง่าย ๆ เพราะมันมีปัจจัย มีองค์ประกอบ มีด่านอรหันต์อีกหลายด่านให้พิธาฝ่าไป เรื่องแรกหากจะเป็นนายกฯต้องให้กกต.รับรองสถานะส.ส.ก่อน จากนั้นก็ต้องไปลุ้นโหวตเลือกนายกฯ ที่ต้องหาเสียงสนับสนุนให้ได้มากกว่ากึ่งหนึ่งของ 2 สภา คือ 376 จาก 750 คน จากนั้นก็ค่อยไปลุ้นคดีความของตัวเองที่ตอนนี้มีแน่ๆแล้วหนึ่งคดีคือการถือหุ้นไอทีวีซึ่งคาอยู่ที่กกต. ถ้ารอดสันดอนก็ได้ไปต่อเป็นนายกฯคนที่ 30 แบบที่ประกาศไว้ แต่ถ้าศาลรัฐธรรมนูญชี้ว่าพิธาขาดคุณสมบัติ บอกเลยว่า “งานเข้า” ทั้งพิธาและก้าวไกลจะฉิบหายแน่นอน

พูดแบบนี้ไม่ได้แช่งพิธา ไม่ได้อาฆาตก้าวไกล ไม่ได้ตั้งใจทำให้ด้อมส้มดินตายกลางถนน แต่เอาความจริงเอาความเป็นไปได้เอาโอกาสของพิธามากางให้เอฟซีดู เผื่อใจไว้บ้างทำใจไว้หน่อย เพราะ “ความจริง” กับ “ความรัก” แลพ “กระแส” บ่อยครั้งมันไม่ไปทางเดียวกัน กรณีพิธาก็กำลังจะเป็นแบบนั้น ชนะการเลือกตั้งแบบมาเป็นอันดับหนึ่ง แต่อาจไม่ได้เป็นนายกฯอาจไม่มีโอกาสบริหารประเทศ กรณีการถือหุ้นไอทีวีตั้งแต่ปี 2551 จำนวน 42,000 ก็ชัดเจนว่าเข้าข่ายขากคุณสมบัติการเป็นส.ส.ตาม ม.98 (3) ที่รัฐธรรมนูญเขียนกำกับไว้ชัดเจน ” บุคคลผู้มีลักษณะดังต่อไปนี้เป็นบุคคลต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (3) เป็นเจ้าของหรือผู้ถือหุ้นในกิจการหนังสือพิมพ์หรือสื่อมวลชนใด ๆ ” ตรงนี้กฎหมายสูงสุดเขียนห้ามไว้เพราะไม่อยากให้คนที่จะมาเป็นผู้แทนคนที่จะมาเป็นส.ส.มีผลประโยชน์ทับซ้อนกับสื่อ เพราะมันจะมีส่วนได้ส่วนเสียในการทำหน้าที่ ประเด็นนี้ทุกคนที่จะเข้ามาเป็นส.ส.รู้ดี ก้าวไกลก็เคยโดนกรณีแบบนี้กับธนาธร แต่ไฉนพิธาถึงไม่นำพาคิดได้เป็น 2 แง่ หนึ่งถ้าไม่ประมาทเลินเล่อสุดๆ สองก็คงมั่นใจทีมกฎหมายการชี้แจงของตัวเองมาก หรือ สามเจตนาให้งับเหยื่อหวังจุดประเด็นขัดแย้งในสังคมว่าถูกกลั่นแกล้งถูกอำนาจมืดรังแกทั้งๆที่ชนะเลือกตั้งมาเป็นอันดับ 1

ไม่ว่าพิธา แกนนำส้มล้มเจ้า ทั้งธนาทอนกับปิยะบูดจะคิดวางแผนกับเรื่องนี้อย่างไร แต่กฎหมายและรัฐธรรมนูญเท่าเทียมกับทุกคนเสมอ และเที่ยวนี้พิธาก็มีโอกาสสูงลิ่วที่จะ “ตกม้ายตาย” ก่อนกำหนด “ตกสวรรค์” ก่อนเวลาอันควร ทั้งๆที่จ่อเป็นนายกฯคนต่อไปแบบนอนมา แต่เพราะไปมีชื่อถือหุ้นสื่อไอทีวี 42,000 หุ้น แถมฝ่ายผู้ร้องยังพิสูจน์ยังมีหลักฐานยืนยันว่า ไอทีวีปัจจุบันยังทำธุรกิจ “สื่อ” แถมยังมี “รายรับ-รายจ่าย” การดำเนินงานตามปกติ ไม่ได้เจ๊งไม่ได้ยุบกิจการไปตามที่หลายคนเข้าใจ ตรงนี้แหละที่จะกลายเป็น “จุดตาย จุดสลบ” ให้พิธาดิ้นไม่หลุด ไปต่อไม่ได้เพราะมีหลักฐานได้ว่าไอทีวี ณ ปัจจุบัน ยังเป็น 1. บริษัทประกอบการด้านสื่อ 2. มีธุรกรรมมีการดำเนินการมีกำไรขาดทุนจากการเปิดบริษัทจริงๆ หนำซ้ำก่อนหน้านี้ก็มีคดีตัวอย่างคดีที่อัยการจังหวัดกาญจนบุรีสั่งฟ้อง สุรโชค ทิวากร อดีตว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.กาญจนบุรี เขต 2 พรรคไทยภักดี ต่อศาลกาญจนบุรี เมื่อวันที่ 30 มิถุนายน 2565 ที่ผ่านมา ในฐานความผิดลงสมัครรับเลือกตั้ง  โดยรู้อยู่แล้วว่าตัวเองเป็นผู้มีลักษณะต้องห้ามในการสมัครรับเลือกตั้ง ,แจ้งข้อความอันเป็นเท็จแก่เจ้าพนักงาน และแจ้งให้พนักงานจดข้อความอันเป็นเท็จ และขอให้ศาลเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งจำเลยเป็นเวลา 20 ปี จากการที่สุรโชค ลงสมัครสมาชิกสภาเทศบาล ( ส.ท.) ต.หนองตากยา อ.ท่าม่วง จ.กาญจนบุรี เดือนก.พ.ปี 2564 ทั้งที่ตัวเองมีลักษณะต้องห้าม เนื่องจากถือหุ้นใน บ. อสมท. จำกัด (มหาชน) จำนวน 1 หุ้น มูลค่า 5 บาท โดย อสมท. เป็นบริษัทที่ประกอบกิจการหนังสือพิมพ์หรือสื่อมวลชน ทำให้มีลักษณะต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งตามพ.ร.บ.เลือกตั้ง ส.ท. พ.ศ.2562 ม. 50 ( 3 ) ที่บัญญัติห้าม “เป็นเจ้าของหรือผู้ถือหุ้นในกิจการหนังสือพิมพ์หรือสื่อมวลชนใด ๆ ” ที่กฎหมายนี้ก็ล้อตามรัฐธรรมนูญ ม.98 (3) นั้นแหละ สุดท้ายศาลชั้นต้นพิพากษาจำคุกสุรโชค 1 ปี 9 เดือน แต่จำเลยรับสารภาพ ลดโทษเหลือครึ่งหนึ่ง และให้รอลงอาญา 2 ปี ปรับ 2 หมื่นบาท พร้อมกับตัดสิทธิ์ทางการเมือง 20 ปี อันนี้แค่ตัวอย่างแค่น้ำจิ้มคำตัดสินของศาล

 

ที่วานนี้วิษณุ เครืองาม รองนายกฯฝ่ายกฎหมายปัจจุบันก็ออกมาชี้ช่องส่งสัญญาณแล้วว่าพิธาต้องผ่าน 2 ด่านอรหันต์ให้ได้ก่อนหากอยากจะเป็นนายกฯ 1.กกต. 2.ศาลรัฐธรรมนูญ ไม่อย่างนั้นก็จบเห่เพราะไปไม่ถึงดวงดาวแน่นอน หลังจากนี้ประเด็นที่ต้องตามต่อคือกกต.จะรับรองส.ส. 95 % หรือ 475 คน จาก 500 คนได้เมื่อไหร่ แต่ทั้งหมดต้องก่อน 13 ก.ค.2566 ก่อน 60 วันหลังเลือกตั้งตามข้อกำหนดของรัฐธรรมนูญ จากนั้นก็ต้องดูวันเปิดสภา ไปลุ้นกันว่าใครจะได้เป็นประธานสภาผู้แทนราษฎร ระหว่างก้าวไกลกับเพื่อไทย ถัดจากนั้นก็ต้องไปดูว่าประธานสภาจะนัดวันโหวตนายกฯเมื่อไหร่ ถึงตอนนั้นก็ต้องไปลุ้นว่าพิธาจะฝ่าผนังทองแดงกำแพงเหล็ก หาแนวร่วม 376 คน เพื่อขึ้นเป็นนายกฯคนที่ 30 ได้หรือไม่ ถ้าได้ก็ไปต่อ ถ้าไม่ได้ก็ไปเข้าทางเพื่อไทยที่ “อุ๊งอิ๊งค์-เศรษฐา” รอเสียบอยู่แล้ว สมมุติว่าพิธาได้รับโหวตเป็น “ว่าที่นายกฯ” จริง ก็ต้องลุ้นกันอีกว่าประธานสภาผู้แทนราษฎรในตอนนั้น ที่ยังไม่รู้ว่าจะออกหมู่หรือจ่า ไม่รู้เป็นคนของก้าวไกลหรือเพื่อไทย แล้วถึงตอนนั้นประธานสภาจะเกล้าทูลเกล้าชื่อพิธาไหม เพราะพิธายังมีคดีคาอยู่ในศาลนี้ก็เป็นประเด็นหนึ่งที่ชวนปวดหัว ในระหว่างนั้นก็ต้องไปลุ้นคดีว่าจะเป็นยังไง ที่ล่าสุดสนธิญา สวัสดี หนึ่งในผู้ร้องเรื่องนี้ก็ออกมาเปิดเผยว่ากกต.จะพิจารณาคดีนี้หลังรับรองส.ส. ว่าจะส่งศาลรัฐธรรมนูญหรือไม่   ถ้าส่งก็ต้องไปลุ้นว่าศาลรัฐธรรมนูญจะรับหรือไม่รับ ถ้ารับแล้วจะให้พิธาหยุดปฏิบัติหน้าที่หรือไม่ ถ้าพิธาหยุดแล้วจะเป็นอย่างไร จะมีอะไรเกิดขึ้น จากนั้นลองคิดไปไกลๆ ถ้าพิธาถูกศาลรัฐธรรมนูญพิพากษาว่าไม่มีความผิดไม่มีลักษณะต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญ อันนี้ก็จบทางนี้ก็ง่ายแยกย้ายกันทำงาน แต่ถ้าศาลเห็นตรงข้ามเห็นตรงกันกับผู้ร้อง พิธาผิดมีลักษณะต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญ แล้วบรรดาว่าที่ผู้สมัครของพรรคที่พิธาในฐานะหัวหน้าพรรคไปรองรับ พวกที่แพ้ไม่เป็นไรแต่พวกที่ชนะได้เป็นส.ส.เขต 112 คน บัญชีรายชื่ออีก 39 คน จะทำกันยังไง 112 คน จาก 112 เขตจะมีการเลือกตั้งใหม่ไหม ใครจะเป็นคนจ่ายตังค์ถ้าต้องเลือกใหม่ คิดแค่นี้ก็ปวดกบาล ยุ่งตายห่า ชนะเลือกตั้งมากับกระแสอาจทำให้พิธาฮึกเหิมก้าวไกลลำพอง แต่นั้นแค่ความสุขประเดี๋ยวประด่าว เป็นแค่ความสุขชั่วคราวความสุขข้ามคืน ของจริงมันโหดมันร้ายมันเขี้ยวกว่านั้นมาก พิธาเหนื่อย ก้าวไกลหนาว ด้อมส้มต้องทรมานอีกหลายยก  แนะนำให้อ่านหนังสือธรรมมะ ทำใจร่มๆ  เข้าวัดทำบุญ  เพราะความจริงกับความหวังบ่อยครั้งมันเดินคู่ขนาน   เพราะเส้นทางสู่เก้าอี้สร.1 ของพิธา เส้นทางสู่อำนาจของก้าวไกลในตึกไทยคู่ฟ้า คงไม่ได้มาอย่างง่ายๆแน่นอน
///////////////////

ข่าวที่น่าสนใจ

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ข่าวล่าสุด

“เอกภพ” ได้ประกันตัว ปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา ปมให้ข้อมูลเท็จดิไอคอน จ่อฟ้องกลับ
สามเชฟดังร่วมรังสรรค์เมนูเพื่อการกุศลทางการแพทย์
"ทนายบอสพอล" เผยเป็นไปตามคาด "เอก สายไหม" ถูกจับ จ่อดำเนินคดีหมิ่นประมาท เรียกค่าเสียหาย 100 ล้าน
ศาลออกหมายจับ 'เจ๊หนิง' พร้อมสามีและหลาน ร่วมกันแจ้งความเท็จ 'ภรรยาบิ๊กโจ๊ก'
อิสราเอลถล่มเลบานอนดับครึ่งร้อย
หมายจับ ICC กระทบอิสราเอลอย่างไร
เปิดวิสัยทัศน์ประธานเครือข่ายธุรกิจ Bizclub นครราชสีมาคนใหม่ “กิม ฐิติพรรณ จันทร์ประทักษ์”
เกาหลีใต้ชี้รัสเซียส่งระบบป้องกันภัยทางอากาศให้เกาหลีเหนือ
สหรัฐเมินไฮเปอร์โซนิครัสเซียลั่นไม่หยุดหนุนยูเครน
เมียเอเย่นต์ค้ายาบ้า ร้องถูกตร.รีด 5 แสน แลกปล่อยตัว พ่วงเรียกเก็บเงินรายเดือน

ดู LIVE รายการ

X

เราใช้ คุ้กกี้ เพื่อให้ทุกคนได้ประสบการณ์การใช้งานที่ดียิ่งขึ้น