วันที่ 31 พ.ค.66. นายจรัญ ภักดีธนากุล อดีตตุลาการศาลรัฐธรรมนูญให้สัมภาษณ์พิเศษ กับ Top News ถึงกรณีที่สังคมจับตามองกับการที่ผู้สมัครสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร หรือ ส.ส.ถือหุ้นสื่อเช่นกรณีของนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ที่มีหุ้นสื่อ ITV ว่า ขอย้อนไปดูผลของข้อกฎหมายเพื่อสร้างความกระจ่างในปัญหาข้อกฎหมายให้ประชาชนที่อาจเกิดความเข้าใจสับสนคืออยู่ที่ลักษณะต้องห้ามของแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี ได้มีผู้ให้ความเห็นทางสื่อไว้ว่า เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับลักษณะต้องห้ามของผู้สมัครส.ส.ที่ถือหุ้นสื่อไม่มีผลกระทบต่อตำแหน่งแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี และการเป็นนายกรัฐมนตรีของบุคคลนั้นซึ่งข้อกฎหมายที่ผู้ออกมาแสดงความเห็นใช้ในเรื่องนี้ถือว่าไม่ถูกต้องทำให้ประชาชนสับสนหลงผิด ส่วนตัว เมื่อได้ฟังการให้สัมภาษณ์แบบนี้ ตนยังรู้สึกเขวและรู้สึกว่าไม่ตรงกับความเข้าใจของตน จึงต้องไปเช็คข้อกฎหมายก็ได้พบว่าความเห็นตรงนั้นไม่ถูกต้อง ซึ่งไม่ได้ว่าผู้ให้สัมภาษณ์แต่อย่างใด แต่ต้องการทำให้ชัดเจน เพื่อจะให้ปัญหานี้อยู่ในขอบเขตที่ง่ายลงในมาตรา 158 วรรคหนึ่ง พูดชัดเจนว่าแคนดิเดตนายกฯรัฐมนตรีจะต้องไม่มีลักษณะต้องห้ามตามมาตรา 160 (6) คือต้องไม่มีลักษณะต้องห้ามแบบเดียวกับผู้สมัครส.ส. ตามมาตรา 98 (3)ผลคือว่า ข้อกฎหมายมีข้อยุติว่า ผู้สมัครส.ส. เป็นเจ้าของ หรือ ผู้ถือหุ้นสื่อสิ่งพิมพ์หรือสื่ออื่นใด ขาดคุณสมบัติ หรือมีลักษณะต้องห้าม ของการเป็นส.ส.ก็จะขาดคุณสมบัติที่มีลักษณะต้องห้ามเป็นรัฐมนตรีไม่ได้ เป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีไม่ได้ เพราะกฎหมายบอกให้โยงเอาลักษณะต้องห้ามของรัฐมนตรี มาตรา 160 มาใช้ด้วยซึ่งมีความชัดเจนต้องไม่เข้าลักษณะต้องห้ามแบบเดียวกันกับผู้สมัครส.ส. เพราะฉะนั้นประเด็นนี้ทำให้ชัดเจนและเป็นเรื่องใหญ่ ไม่ใช่ขาดคุณสมบัติการเป็นส.ส.อย่างเดียวแต่กระทบถึงลักษณะต้องห้ามการที่จะเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีและการเป็นรัฐมนตรีรวมทั้งเป็นนายกรัฐมนตรีก็ไม่ได้ด้วย ถือเป็นเรื่องใหญ่และสำคัญอย่าได้ไปดูแคลนว่าไม่เป็นไร เป็นแค่เรื่องส.ส.อย่างเดียวเท่านั้น หากอยู่ในบัญชีรายชื่อของพรรคก็เลื่อนคนลำดับถัดไปขึ้นมาก็ได้ นั่นไม่ถูกต้องเพราะฉะนั้นจะได้เห็นความสำคัญของประเด็นนี้
ขณะเดียวกัน ประเด็นที่สองในทางตรงข้ามความเห็นของทางกฏหมายถ้าผู้สมัครส.ส.เป็นหัวหน้าพรรคการเมือง ซึ่งต้องรับรองผู้สมัครคนอื่นๆด้วยนั้น หากหัวหน้าพรรคการเมืองขาดคุณสมบัติเข้าลักษณะต้องห้ามจะทำให้ผู้สมัครทุกคนพลอยขาดคุณสมบัติไปด้วยหรือไม่นั้น ข้อนี้ไม่ปรากฏ ส่วนตัวได้พยายามเช็คกฎหมายเท่าที่ตรวจสอบไม่พบและไม่มีข้อนี้ เพราะฉะนั้นถ้าผลเป็นอย่างไรก็เป็นเรื่องเฉพาะตัวบุคคล ไม่เกี่ยวกับส.ส.คนอื่น และไม่เกี่ยวกับการยุบพรรค
นอกจากนี้ นายจรัญ ได้กล่าวเพิ่มเติมว่ายังมีผู้ร้องอ้างว่า คนไปร้องเรียนเรื่องนี้ว่าเข้าข่ายมีความผิดฐานเป็นกบฏ เมื่อตนเช็คข้อกฏหมายแล้วถือว่าเกินประเด็นของข้อกฏหมายในเรื่องนี้ไปซึ่งความคิดเห็นของคนมีอิสระแต่เพื่อทำให้ประชาชนไม่สับสนนั้นถือว่าเรื่องนี้ไม่เชื่อมโยงไปถึงฐานความผิดการเป็นกบฏแต่อาจมีความผิดฐานแจ้งความเท็จประมวลกฎหมายอาญา 173 อาจจะเป็นไปได้แต่ไม่ลุกลามไปถึงการเป็นกบฏนั้น เกินไป จึงทำให้เกิดความสับสนแก่ผู้ที่ติดตามในเรื่องนี้
ทั้งนี้มีการอ้างว่า หุ้นไอทีวีที่นายพิธา มีอยู่นั้น ได้รับเป็นมรดกจากบิดาและอยู่ในฐานะเป็นแค่ผู้จัดการมรดกเท่านั้นไม่เกี่ยวกับการเป็นเจ้าของหุ้น นายจรัญ ระบุว่า การเป็นผู้จัดการมรดกเท่านั้นก็ไม่เกี่ยวหากเป็นแค่ผู้จัดการมรดกเท่านั้นไม่ใช่ผู้ถือหุ้น เป็นแค่ผู้ทำหน้าที่โอนให้ทายาท แต่เมื่อไปดูในข้อเท็จจริงเพิ่มเติมมาว่าผู้จัดการมรดกเป็นทายาท มีสิทธิ์ได้รับมรดกจากผู้ตาย ได้รับมรดกส่วนที่เป็นหุ้นมาด้วยไม่ว่าจะมากหรือน้อย ก็เข้าลักษณะข้อแรกเป็นผู้ถือหุ้นในกิจการสื่อสาธารณะอื่นใด