นายถาวร เสนเนียม ประธานพรรคไทยภักดีและอดีต ส.ส.ประชาธิปัตย์หลายสมัย หลายสมัย ให้ความเห็นกรณีปมถือหุ้นสื่อ itv กว่า 42,000 หุ้น ของนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ว่าที่นายกรัฐมนตรีจากพรรคก้าวไกลว่า หากตีความตามรัฐธรรมนูญ ปี60 ขอฟันธงว่า นายพิธาขาดคุณสมบัติของการเป็นนายกรัฐมนตรี การที่นายพิธาอ้างว่า หุ้นที่ได้เป็นหุ้นที่ได้จากมรดก และตนเองเป็นผู้จัดการมรดกด้วย หากพิจารณาจากประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ว่าด้วยมรดกมาตรา 1599 ระบุว่า “เมื่อบุคคลใดตาย มรดกของบุคคลนั้นตกทอดแก่ทายาท” เห็นได้ชัดว่านายพิธาได้รับสิทธิ์มรดกเพราะเป็นทายาท นั่นคือทรัพย์มรดกที่นายพิธาได้มา เป็นทรัพย์มรดกที่โดยชอบด้วยกฎหมาย
“ถาวร เสนเนียม” ฟันธงปม “พิธา” ถือหุ้นไอทีวี ขาดคุณสมบัตินายกฯ ยกข้อกม.เทียบชัดจะรอดหรือไม่
ข่าวที่น่าสนใจ
ปัญหาต่อมาคือ เมื่อนายพิธาเข้ามาสมัครเป็นส.ส.พรรคก้าวไกล และการกำหนดบุคคลเป็นนายกรัฐมนตรีของพรรค ก็ระบุไว้อย่างชัดเจนคือ ข้อ92 ที่กำหนดว่า มีคุณสมบัติและไม่เป็นบุคคลที่มีลักษณะต้องห้ามตามที่รัฐธรรมนูญกำหนด จึงค่อนข้างชัดเจนว่า การถือหุ้นสื่อ itv 42,000 หุ้น เป็นการขัดรัฐธรรมนูญตามมาตรา 98/3
ยืนยันว่า กรณีการถือหุ้นของนายพิธา คนละอย่างกับกรณีของนายชาญชัย อิสระเสนารักษ์ ซึ่งคำพิพากษากรณีการถือหุ้นสื่อของนายชาญชัย เป็นคำพิพากษาของศาลฎีกา แต่กรณีของนายพิธาผู้ร้องคือนายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะได้ยื่นร้องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย อำนาจศาลก็ย่อมต่างกัน ศาลฎีกา มีขอบเขตอำนาจพิจารณาคดีเอกชน แต่กฎหมายรัฐธรรมนูญ เป็นกฎหมายมหาชนที่ปกครองดูแลคนทั้งประเทศ จึงเอามาเปรียบเทียบกันไม่ได้
ดังนั้นในความเห็นส่วนตัว หากตนเองเป็นหนึ่งในเก้าเสียงตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ จะวินิจฉัยให้นายพิธาขาดคุณสมบัติการเป็นสสและนายกรัฐมนตรี
นายถาวร กล่าวต่อไปว่า ถ้านายพิธาถูกตัดสิทธิ์จริงๆ ก็ยังมีช่องทางให้นายพิธากลับมาดำรงตำแหน่งในฐานะนายกรัฐมนตรีได้ ถ้ากรณีศาลรัฐธรรมนูญตัดสิทธิ์ นายพิธาก็ไปทำเรื่องถอนหุ้น ออกให้หมดและกลับเข้ามาสมัครเป็นสมาชิกพรรคก้าวไกลใหม่ และให้พรรคก้าวไกลเสนอชื่อนายกรัฐมนตรีในฐานะคนนอก แต่นายพิธาก็ต้องไปล็อบบี้ส.ว.และส.ส.ให้ได้ แต่ นายพิธาจะสง่างามหรือไม่ นั่นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง
ข่าวที่เกี่ยวข้อง