ดร.ธนิต โสรัตน์ รองประธานสภาองค์การนายจ้างผู้ประกอบการค้าและอุตสาหกรรมไทย (อีคอนไทย) เปิดเผยกับทีมข่าว TOPNEWS ถึงนโยบายการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำของพรรคการเมือง โดยเฉพาะการปรับค่าแรง 450 บาทต่อวันของพรรคก้าวไกล ว่า ในเรื่องของค่าจ้างแบบประชานิยมถือเป็นนโยบายที่กลายเป็นยุทธศาสตร์ของพรรคการเมืองในการหาเสียง โดยพรรคเบอร์ 1 เบอร์ 2 ได้นำนโยบายมาใช้ ซึ่งเป็นค่าจ้างแบบก้าวกระโดด สมมติให้ค่าจ้าง 450 บาทต่อวันเป็นตัวตั้ง ขณะที่ปัจจุบันค่าจ้างโดยเฉลี่ยของประเทศ อยู่ที่ประมาณ 350 บาท/วัน ซึ่งการปรับค่าจ้างขั้นต่ำขึ้นเป็น 450 บาท จะทำให้ค่าจ้างสูงขึ้นกว่าระดับปัจจุบัน 100 บาทต่อวัน เฉลี่ยที่ 3,000 บาทต่อเดือน ซึ่งเป็นการปรับขึ้นทั้งประเทศ ขณะที่ ปัจจุบันการจ้างงานคนไทยส่วนใหญ่จะสูงกว่าค่าจ้างขั้นต่ำแล้ว
ทั้งนี้ จากนโยบายการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำนั้น จะเป็นการปรับขึ้นทั้งในส่วนของแรงงานต่างด้าวคนพิการทุกประเภท โดยเฉพาะแรงงานต่างด้าว ที่จะได้รับค่าแรง 450 บาทต่อวัน มีวันทำงาน 26 วัน จะได้รับค่าแรงเพิ่มเป็นประมาณ 12,000 บาทต่อเดือน ทำให้แรงงานจากเดิมที่ได้รับค่าแรง 12,000 บาทต่อเดือน จะต้องถูกปรับให้สูงขึ้นอีก ซึ่งค่าจ้างจะต้องถูกปรับขึ้นในทุกระดับ และเป็นสิ่งที่นายจ้างมีความกังวล
ดร.ธนิต ยกตัวอย่าง หากเป็นธุรกิจเอสเอ็มอี ที่มีลูกจ้าง 200 คน ปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำเป็น 450 บาทต่อวัน หรือคนละ 3,000 บาท ต่อเดือน จะทำให้มีต้นทุนสูงขึ้นถึง 7 ล้านบาทต่อปี ขณะที่สำหรับบริษัทขนาดใหญ่ของไทยปัจจุบัน มีประมาณ 1,400 บริษัท (บริษัทมหาชน) ขณะที่บริษัทขนาดกลางและขนาดเล็ก รวมถึงรายย่อย มีมากถึงประมาณ 8 แสนบริษัท
ขณะที่ การปรับขึ้นค่าแรง จะส่งผ่านไปยังราคาสินค้าทำให้อัตราเงินเฟ้อปรับตัวเพิ่มขึ้น ส่งผลให้ราคาสินค้าปรับตัวเพิ่มขึ้นเป็นวงจรเดิม อีกทั้งปัจจุบันการส่งสินค้าจากประเทศเพื่อนบ้านทำได้ง่ายขึ้น จะอาจจะทำให้มีการนำสินค้าจากประเทศเพื่อนบ้านมาจำหน่ายไทยแทน
อย่างไรก็ตาม ดร.ธนิต ยอมรับว่า ค่าจ้างที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นในช่วง 6 เดือนแรกจะส่งผลดีต่อภาพรวมเศรษฐกิจอย่างแน่นอน เพราะลูกจ้างมีเงินเพิ่มขึ้นถึง 3 พันบาทต่อเดือนทั่วประเทศ ทำให้ 1 ปี มีเงินหมุนเวียนถึง 1 ล้านล้านบาท ขณะที่นายจ้าง เมื่อพ้น 6 เดือน ยอดคำสั่งซื้อจะลดลง จะนำเงินที่ไหนมาจ่ายลูกจ้าง เพราะเงินที่จ่ายลูก จ้างนั้นไม่ใช่เงินรัฐบาล