รู้จัก 3 ประเภท โรค "เท้าปุก" เท้างุ้มเข้า บิดตะแคง และเขย่ง โรคเป็นแต่กำเนิด รักษาเร็วยิ่งดี เลี่ยงผ่าตัดได้
ข่าวที่น่าสนใจ
รู้จัก โรค “เท้าปุก” คืออะไร
ยังไม่ทราบสาเหตุที่แท้ของโรคเท้า ปุก แต่มีปัจจัยหลายอย่างที่พบว่า มีความสัมพันธ์กับการเกิดโรคนี้ ได้แก่
- กรรมพันธุ์
- ลูกคนแรก
- พัฒนาการเท้าผิดปกติในครรภ์
- และโรคบางอย่างที่ส่งผลต่อเจริญเติบโตของเท้า เป็นต้น
ถ้าได้รับการรักษาที่ถูกต้องตั้งแต่ต้น เช่น
- การดัดเท้าใส่เฝือกให้เท้าตรงก่อน
- ใส่รองเท้าเฉพาะ จะทำให้รูปเท้าโตปกติ และการรักษาระยะต่อมาง่ายยิ่งขึ้น
ในบางรายสามารถตรวจพบได้จากการอัลตร้าซาวด์ในช่วงที่มีการฝากครรภ์ ทำให้คุณพ่อคุณแม่มีโอกาสเตรียมตัวเตรียมใจสำหรับการรักษา เมื่อเด็กคลอดออกมาแล้ว แต่โดยทั่วไปโรคนี้อาศัยความชำนาญของแพทย์เฉพาะทางโรคกระดูกเด็ก ก็สามารถให้การวินิจฉัยจากการตรวจร่างกายเด็กหลังจากคลอดออกมาแล้ว โดยไม่ได้ทำให้การรักษาช้าเกินไป
ปกติจึงไม่จำเป็นต้องถ่ายภาพรังสีของเท้าเพื่อยืนยันการเป็นโรคนี้ นอกจากการตรวจส่วนเท้าที่มีความผิดรูปแล้ว แพทย์จะตรวจร่างกายระบบอื่น ๆ เพื่อหาสาเหตุร่วมที่อาจทำให้การรักษาซับซ้อนมากขึ้น เช่น ระบบประสาทกล้ามเนื้อ เป็นต้น
นายแพทย์ปริยุทธิ์ เจียรพัฒนาคม หัวหน้าหน่วยออร์โธปิดิกส์เด็ก สถาบันออร์โธปิดิกส์ โรงพยาบาลเลิดสิน กล่าวเพิ่มเติมว่า
“เท้า ปุก” แบ่งได้เป็น 3 ประเภท
ประเภทแรก
- เป็นเท้า ปุกเทียม พบตั้งแต่แรกเกิด
- เท้าจะมีลักษณะผิดปกติดังกล่าวข้างต้นทุกประการ มักเกิดในลูกคนแรกที่มดลูกคุณแม่ยังมีความกระชับมาก
- แต่เมื่อจับดัดเท้าให้เข้ารูปเบา ๆ เท้าก็จะมีลัษณะเป็นปกติ
- ดังนั้น แค่สังเกตอาการ หรือการใส่เฝือกเพียงครั้งเดียวความผิดรูปก็จะดีขึ้นได้เอง
ประเภทที่สอง
- เท้า ปุกที่ไม่ทราบสาเหตุ เท้าจะผิดรูปที่ไม่สามารถดัดให้ตรงได้จากการจับเพียงอย่างเดียว
- เกิดจากการเจริญผิดปกติของเท้าระหว่างอยู่ในครรภ์
- รักษาโดยการดัดและใส่เฝือกเท้าต่อเนื่องหลายครั้ง หรืออาจต้องผ่าตัดจึงจะหาย
ประเภทสุดท้าย
- เท้า ปุกร่วมกับโรคอื่น เป็นเท้าผิดรูปที่เกิดร่วมกับโรคทางระบบประสาทกล้ามเนื้อ โรคข้อยึด หรือโรคอื่น ๆ
- แม้ว่าจะรักษาได้โดยการดัดและใส่เฝือกต่อเนื่อง แต่ส่วนใหญ่ต้องใส่เฝือกหลายครั้งกว่ามาก
- และมีโอกาสต้องรักษาโดยการผ่าตัดสูงกว่า
นายแพทย์ปริยุทธิ์เน้นว่า เท้า ปุกทุกประเภท ควรมาพบแพทย์เร็วที่สุดตั้งแต่แรกเกิด และเริ่มรักษาโดยทันที เพราะ จะทำให้การรักษาได้ผลดีมากที่สุด
ข้อมูล : กรมการแพทย์
ข่าวที่เกี่ยวข้อง