“เรืองไกร” ยื่นหลักฐานกกต.เพิ่มเติมครั้งที่ 7 จี้ “พิธา” เปิดข้อมูลหุ้นไอทีวี ตอบให้ชัดขายทิ้งจริงหรือไม่

“เรืองไกร” ยื่นหลักฐานกกต.เพิ่มเติมครั้งที่ 7 จี้ “พิธา” เปิดข้อมูลหุ้นไอทีวี ตอบให้ชัดขายทิ้งจริงหรือไม่

เมื่อวันที่ 6 มิ.ย. เวลา 09.55 น. ที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนา สมาชิกพรรคพลังประชารัฐ เดินทางมายื่นข้อมูลเพิ่มเติมเป็นครั้งที่ 7 กรณีการถือหุ้นไอทีวี ของนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีพรรคก้าวไกล พร้อมให้สัมภาษณ์ว่า ขณะนี้มีการให้ความเห็นเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวไปในทิศทางต่างๆ ตรงข้อเท็จจริงบ้าง ไม่ตรงบ้าง มีการเบี่ยงเบนข้อกฎหมายบ้าง ซึ่งเป็นความเห็นที่ตนไม่ได้ว่าอะไร แต่คิดว่าคงไม่ได้เข้าไปสู่สำนวนของ กกต.เท่าไหร่นัก แต่จากการติดตามพบว่ามีการพูดกันว่า บริษัทไอทีวีเลิกประกอบกิจการเป็นเด็ดขาดแล้วหรือไม่ ซึ่งเรื่องนี้ไอทีวีมีสัญญาเข้าร่วมงานกับสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี (สปน.) 30 ปี ตั้งแต่ก.ค.38 ต่อมาถูกสปน.บอกเลิกในปี 50 ไอทีวีจึงยื่นฟ้องต่ออนุญาโตตุลาการ โดยในชั้นแรกบริษัทไอทีวีแพ้

จากนั้นจึงร้องเป็นครั้งที่ 2 และอนุญาโตฯ วินิจฉัยว่าการบอกเลิกสัญญาของสปน.นั้นไม่ชอบด้วยกฎหมาย ทำให้สปน.ยื่นฟ้องต่อศาลปกครองให้บอกเลิกคำชี้ขาดของอนุญาโตฯ เพราะสปน.เห็นว่าอนุญาโตฯ รับคำฟ้องซ้อนกับเรื่องแรกที่มีคำวินิจฉัยไปแล้ว จึงขอให้เพิกถอน ซึ่งศาลปกครองมีคำพิพากษาว่า อนุญาโตฯ ชี้ขาดครั้งที่ 2 โดยชอบด้วยกฎหมาย ศาลปกครองไม่มีอำนาจไปเพิกถอนตามคำร้องของ สปน. ทั้งนี้เมื่อศาลยกคำร้องของสปน. ต่อมา ศปน.ได้ยื่นอุทธรณ์ต่อศาลปกครองสูงสุดสู้คดีต่อ และขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณา จากข้อมูลตรงนี้ตนจึงนำข้อมูลมาให้กกต.ประกอบการพิจารณาว่าที่พูดกันว่าสิ้นสุดไม่ประกอบกิจการแล้ว จึงเป็นประเด็นที่ตนนำมายื่น

นายเรืองไกร กล่าวต่อว่า ยังมีกระแสข่าวว่านายพิธาได้ให้สัมภาษณ์ต่อสื่อมวลชนในงาน Pride month ที่มีการถามว่ามีการขายหุ้นหรือไม่ แต่นายพิธาไม่ได้ตอบคำถาม ตนจึงเพิ่มคำร้องเป็นประเด็นที่สอง นายพิธาเคยให้สัมภาษณ์ในรายการหนึ่งว่า กรณีที่เลวร้ายที่สุดอาจจะพ้นจากการเป็นส.ส. แต่บัญชีนายกรัฐมนตรียังคงอยู่ รวมถึงเมื่อวันที่ 5 มิ.ย. นายพิธา ยังตอบคำถามสื่อมวลชนในกรณีขายหุ้นนั้น เลขาธิการพรรคได้ให้ข้อมูลไปแล้ว ส่วนตัวมองว่าไม่น่าจะตอบเช่นนั้น ควรบอกให้ชัดเจนว่าขายหรือยังไม่ขาย เพราะสิทธิในการขายหุ้น เมื่อนายพิธามีชื่อเป็นผู้ถือหุ้นบริษัทไอทีวีมา 16 ปี หลักฐานปรากฏชัด แล้วถือมาเกินวันสมัครรับเลือกตั้งแน่นอน เพราะรายชื่อผู้ถือหุ้น ปรากฏวันที่ 26 เม.ย.66 แต่วันที่รับสมัครส.ส.เขต และส.ส.บัญชีรายชื่อ คือวันที่ 3-7 เม.ย.66

นายเรืองไกร กล่าวว่า ดังนั้นขอให้กกต.ตรวจสอบการโอนหุ้นที่เกิดขึ้นภายหลัง ซึ่งตนไม่ทราบวัตถุประสงค์ เพราะคงไม่ทำให้การสมัครส.ส. หรือการยอมรับเป็นบัญชีนายกฯ นั้นเสียไป ที่ไม่เสียไป เพราะเมื่อหากยื่นไปแล้วมีลักษณะต้องห้าม ถ้าศาลตัดสินว่านายพิธาถือหุ้นสื่อ ก็จะหมดสิทธิเป็น ส.ส. และบัญชีนายกฯ ด้วย ซึ่งเป็นไปตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.ปี 61 มาตรา 14 ที่ระบุว่าถ้ามีลักษณะต้องห้าม หรือไม่มีหนังสือยินยอม ให้ถือว่าไม่มีการเสนอชื่อ จึงเป็นหน้าที่ของกกต.ที่จะต้องสอบถาม หากมีการซื้อขายก็ต้องมีการส่งสำเนาการโอนหุ้น ซึ่งตามพ.ร.บ.บริษัทจำกัดมหาชน 2535 หมวด 5 เรื่องผู้ถือหุ้นระบุชัดเจนว่าการโอนหุ้นต้องจดแจ้งใน 7-14 วัน หากไม่จดแจ้งจะถือว่าไม่มีการโอนหุ้น ดังนั้นจึงสันนิษฐานว่าน่าจะโอนแล้ว และน่าจะโอนหลังจากที่ตนร้องต่อ กกต.

“ขอเรียกร้องไปยังนายพิธา ขอให้เปิดเผยข้อมูลต่อสื่อมวลชนไปเถอะ หากยังไม่ได้โอน ก็ตอบมาเลยว่ายังไม่ได้โอน ถ้าโอน ก็ขอให้แสดงหลักฐานว่าโอนแล้ว และจดแจ้งต่อบริษัทไอทีวีแล้ว แค่นั้นเอง ไม่เห็นมีปัญหาอะไร ที่ผมพูดเช่นนี้เพราะคำว่าโอเพ่นดาต้าของท่านนั่นแหละที่ผมนำมาเรียกร้องว่า ทำไมข้อมูลของตัวท่าน ในฐานะที่แสดงตนเป็นหัวหน้าพรรค แต่ทำไมไม่เปิดเผย ทำไมต้องให้กกต.รับคำร้องผม แล้วถามไป แล้วการที่ขายไปแล้วเจตนาคืออะไร ผมคงไม่ก้าวล่วง แต่ถ้าคิดว่าโอนแล้วจะทำให้กลับมาเป็นบัญชีนายกฯ โดยชอบ ผมคิดว่าก็คงไม่ใช่ เพราะเป็นไปตามข้อกฎหมาย” นายเรืองไกรกล่าว

ข่าวที่น่าสนใจ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่าระหว่างที่นายเรืองไกร ให้สัมภาษณ์ต่อสื่อมวลชน ปรากฏว่านายภัทรพงศ์ ศุภักษร หรือ ทนายอั๋น บุรีรัมย์ ได้ยืนรับฟังการให้สัมภาษณ์ด้วย ทำให้นายเรืองไกรให้สัมภาษณ์ด้วยสีหน้ากังวล และระแวดระวังตัวเอง ก่อนจะจบการสัมภาษณ์อย่างรวดเร็ว โดยไม่เปิดให้สื่อมวลชนซักถาม ขณะที่นายภัทรพงศ์ได้เดินปรี่พยายามเข้าไปประชิดตัวนายเรืองไกร พร้อมตะโกนถามว่า “ได้อ่านคำพิพากษาของศาลฎีกาไหม พี่เป็นคนบุรีรัมย์หรือเปล่า” แต่นายเรืองไกร ไม่เผชิญหน้า แล้วเดินไปยื่นหนังสือต่อกกต.ต่อ

จากนั้น นายภัทรพงศ์ และ นายวีรวิชญ์ รุ่งเรืองศิริผล หรือ ลุงศักดิ์ เขายื่นหนังสือต่อกกต.คัดค้านคำร้องของนายเรืองไกร และบุคคลอื่นที่มายื่นร้องขอให้กกต.ตรวจสอบการถือหุ้นไอทีวีของนายพิธา โดยนายภัทรพงศ์ กล่าวว่าเรื่องนี้ไม่มีอะไรซับซ้อน เกี่ยวข้องกับรัฐธรรมนูญมาตรา 98 (3) และพ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้งส.ส. มาตรา 42 (3 )เท่านั้น จะขายหรือไม่ขายหุ้นไม่มีปัญหาเจตนาที่กฎหมายห้ามไม่ให้ผู้สมัครรับเลือกตั้งถือหุ้นสื่อ เพราะไม่ต้องการเห็นให้ผู้สมัครนำสื่อที่ตนเองเป็นเจ้าของมาใช้ในการโฆษณาหาเสียงสร้างความได้เปรียบเสียเปรียบให้กับคู่แข่งขัน ซึ่งทั้งสองมาตราเป็นกฎหมายที่จำกัดสิทธิเสรีภาพ เราต้องดูบรรทัดฐานสังคม เพิ่งจะมีคำพิพากษาศาลฎีกาในกรณีของนายชาญชัย อิสระเสนารักษ์ ผู้สมัครส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ จ.นครนายก มีข้อเท็จจริงที่เสี่ยงว่าจะผิดมากกว่านายพิธาอีก เพราะกิจการสื่อที่นายชาญชัยถือหุ้นอยู่ยังประกอบกิจการอยู่แต่บริษัทไอทีวี ได้ยุติการออกอากาศ มาตั้งแต่ปี 51

นอกจากนี้สัดส่วนหุ้นไอทีวีที่นายพิธาถือก็เพียงเล็กน้อย เมื่อเทียบกับจำนวนหุ้นไอทีวีทั้งหมดที่มีอยู่ ทำให้ไม่มีอำนาจสั่งการใดๆ ในการจะให้สื่อนั้นมาช่วยหาเสียงให้กับตนได้ และไอทีวีได้หยุดกิจการไปแล้ว การที่นายเรืองไกร หรือใครที่มาร้อง ส่วนใหญ่จะหน้าเดิมๆ ซึ่งสังคมก็ตีหน้าตีตราอยู่แล้วว่าเป็นพวกร้องไร้สาระ และเขารู้ตัวว่า สังคมมองตัวเองอย่างไร แต่มีเหตุจูงใจในการร้อง ก็พูดเพราะเป็นเกมอำนาจทางการเมืองที่ต้องการขัดขวาง ก็หวังว่ากกต.จะปัดตกคำร้องของนายเรืองไกรและผู้อื่นๆ ที่มายื่นร้องเรื่องการถือหุ้นของพิธา เหมือนกับที่ปัดตกคำร้องของนายศรีสุวรรณ จรรยา นายกสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทยกรณีร้องนโยบายหาเสียงกระเป๋าเงินดิจิตอล 10,000 บาท ของพรรคเพื่อไทย ที่ตนได้มายื่นคัดค้านคำร้องของนายศรีสุวรรณ และกกต.ก็ปัดตกตามที่ตนยื่นร้อง

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ข่าวล่าสุด

“สมศักดิ์” นำร่อง “ตู้ห่วงใย” บริการแพทย์ทางไกลเชิงรุกในชุมชน ยกระดับ 30 บาทรักษาทุกที่ 
"พงษ์ศักดิ์" ยื่นร้องกกต. ขอระงับรับรองผลเลือกตั้งนายกอบจ.ขอนแก่น ชี้พบเหตุหาเสียงส่อผิดกม.
“กฤษอนงค์” ไร้เงาคนยื่นประกัน นอนคุกคืนแรก ด้าน “บอสพอล” มอบทีมกม.ยื่นค้านประกันตัว
‘ทะเลสาบน้ำเค็ม’ โผล่กลางทะเลทรายในมองโกเลียใน
เปิดศึก "พระ" ปะทะคารม "แม่ชี" ปมไม่จ่ายค่าไฟ
หนุ่มตีนผีขับรถ ชนพนักงานกวาดถนน สาหัส ซิ่งหนี เมืองดี ล้อมจับ เป่าขึ้น 77 มก.
ชุดปฏิบัติการพิเศษปกครองเมืองคอนสนธิกำลังจับผู้ต้องหายาเสพติดเครือข่ายภาคใต้ยาบ้าเกือบ 2 แสนเม็ด มูลค่า 2 ล้านบาท-เผยเริ่มต้นปฏิบัติการจับกุมผู้เสพผู้ค้ารายย่อยของกลางยาบ้าไม่ถึง 10 เม็ด จนขยายผลจับกุมข้ามจังหวัดรวมยาบ้า เกือบ 1.4 แสนเม็ดพร้อมยึดทรัพย์รถ เก๋ง 1 คัน สั่งขยายผลถึงตัวการใหญ่บงการอยู่เบื้องหลัง
รัสเซียลั่นจะตอบโต้ถ้ายูเครนใช้ ATACMS จริง
"ผบ.ทร." เป็นประธานงานสถาปนา "โรงเรียนนายเรือ" ครบรอบ 118 ปี
รองผบช.ภ.2 แถลงปิดคดี ผู้ต้องหา ฆ่าตัดนิ้ว 'แม่ยายอัยการ' เจ้าตัวสารภาพ ต้องการเงินใช้หนี้ ลงมือเพียงลำพัง

ดู LIVE รายการ

X

เราใช้ คุ้กกี้ เพื่อให้ทุกคนได้ประสบการณ์การใช้งานที่ดียิ่งขึ้น