“ดร.สมชาย” มองขึ้นค่าแรง 450 บาท กระทบหนักนักลงทุนในไทย-ต่างชาติ

“ดร.สมชาย” มองการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 450 บาทต่อวัน กระทบต้นทุนผู้ประกอบการในไทยเป็นหลัก ทั้งนักลงทุน ไทยและต่างชาติ รวมถึง SME เกิดปัญหาความสามารถในการแข่งขัน ชี้ต้องเร่งปรับตัว ส่วนนโยบายรัฐสวัสดิการ มองเป็นไปได้ยาก เหตุมีข้อจำกัดเรื่องงบประมาณ

รศ.ดร.สมชาย ภคภาสน์วิวัฒน์ นักวิชาการอิสระด้านเศรษฐศาสตร์และการเมือง เปิดเผยกับทีมข่าว TOPNEWS ถึงนโยบายด้านเศรษฐกิจของพรรคการเมือง โดยเฉพาะนโยบายปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 450 บาทต่อวัน จะส่งผลกระทบต่อภาคการลงทุน และการตัดสินใจลงทุนของต่างชาติ หรือไม่ อย่างไร ว่า ถ้าเป็นการลงทุนของต่างชาติในด้านของหุ้น เราจะเห็นว่าหุ้นตกมาตลอด เพราะฉะนั้น ความไม่แน่นอนการฟอร์มรัฐบาล อันนี้มีผลกระทบแล้ว

และมองว่านโยบายการปรับขึ้นค่าแรง 450 บาทต่อวัน จะส่งผลกระทบต่อนักลงทุนภายในประเทศ ทั้งที่เป็นต่างชาติ และนักลงทุนไทย เพราะต้องพิจารณาถึงความสามารถในการแข่งขัน หากขึ้นเป็น 450 บาทต่อวัน เป็นการขึ้นมากกว่าเงินเฟ้อ และขึ้นทุกปี ก็จะเกิดปัญหาเพราะค่าแรงเป็นต้นทุนส่วนหนึ่ง โดยเฉพาะกลุ่ม SME ส่งผลให้เกิดปัญหาความสามารถในการแข่งขัน ทำให้ต้องมีการปรับตัวเพื่อรองรับกับต้นทุนที่สูงขึ้นจากค่าแรง

อย่างไรก็ตาม รศ.ดร.สมชาย ระบุว่า ถ้าเป็นการลงทุนโดยตรงจากต่างชาติ มองว่ามีผลน้อยมาก เนื่องจากก่อนหน้านี้ ต่างชาติไม่มาลงทุนในไทยในกรณีที่เป็นการลงทุนในอุตสาหกรรมที่ใช้แรงงาน เพราะค่าแรงของไทยสูงกว่ากลุ่มประเทศ CLMV ( กัมพูชา ลาว เมียนมา และเวียดนา) รวมถึงคุณภาพแรงงาน เห็นได้จากการลงทุนโดยตรงในไทยระยะหลังลดน้อยลง แต่จะยังเห็นการเข้ามาลงทุนในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ซึ่งอาจจะมีการคิดเรื่องค่าแรง 450 บาทบ้างเล็กน้อย

 

 

ข่าวที่น่าสนใจ

ขณะที่ แนวคิดจะช่วยเรื่องการ reskill แต่ปัญหาคือ reskill ยากมาก เพรราะการ reskill จากเกษตรมาอุตสาหกรรมง่าย แต่การ reskill จากอุตสาหกรรมมาเป็นดิจิทัล หรือ AI ยากมาก เพราะฉะนั้น การขึ้นแบบนี้แล้วบอกว่าจะ reskill มันไม่ทัน

ผู้สื่อข่าวถามถึง หลักการสร้างสวัสดิการรัฐ ของพรรคการเมืองรัฐบาล โดยเฉพาะพรรคก้าวไกล จะมีความเป็นไปได้มากน้อยแค่ไหนเมื่อ เทียบกับข้อจำกัดด้านงบประมาณ และวิธีการหารายได้เพิ่มมาดำเนินโครงการรัฐสวัสดิการ รศ.ดร.สมชาย ระบุว่า นโยบายดี แต่การทำมีข้อจำกัดมาก ยกตัวอย่าง บางพรรคดูแลสวัสดิการรัฐตั้งแต่แรกเกิดจนแก่ เช่น เพิ่มเงินผู้สูงวัยให้เป็นอัตราเดียวแบบถ้วนหน้า เดือนละ 3,000 บาท ภายใน 4 ปี ปรากฏว่าปัจจุบัน มีคนอายุ 60 ปีขึ้นไป 13 ล้านคน และอีกประมาณ 15-16 ปีข้างหน้า เพิ่มเป็น 21 ล้านคน ซึ่งจะไปกระทบงบประจำให้สูงขึ้น งบลงทุนหาย ทำให้ต้องไปนำมาจากงบประมาณส่วนอื่น ส่วนจะหารายได้จากทางอื่น เช่น ขึ้นภาษี รายได้จากที่ดิน มรดก ตลาดหุ้น ก็ยังไม่เพียงพอ

 

ปัญหาคือ ถ้าทำนโยบายแล้วต้องมีการก่อหนี้ ขณะที่ไม่สามารถพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขัน เพื่อพัฒนาเศรษฐกิจให้เติบโตได้ ก็จะสร้างปัญหาด้านเสถียรภาพการคลังได้

 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ข่าวล่าสุด

“เอกภพ” ได้ประกันตัว ปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา ปมให้ข้อมูลเท็จดิไอคอน จ่อฟ้องกลับ
สามเชฟดังร่วมรังสรรค์เมนูเพื่อการกุศลทางการแพทย์
"ทนายบอสพอล" เผยเป็นไปตามคาด "เอก สายไหม" ถูกจับ จ่อดำเนินคดีหมิ่นประมาท เรียกค่าเสียหาย 100 ล้าน
ศาลออกหมายจับ 'เจ๊หนิง' พร้อมสามีและหลาน ร่วมกันแจ้งความเท็จ 'ภรรยาบิ๊กโจ๊ก'
อิสราเอลถล่มเลบานอนดับครึ่งร้อย
หมายจับ ICC กระทบอิสราเอลอย่างไร
เปิดวิสัยทัศน์ประธานเครือข่ายธุรกิจ Bizclub นครราชสีมาคนใหม่ “กิม ฐิติพรรณ จันทร์ประทักษ์”
เกาหลีใต้ชี้รัสเซียส่งระบบป้องกันภัยทางอากาศให้เกาหลีเหนือ
สหรัฐเมินไฮเปอร์โซนิครัสเซียลั่นไม่หยุดหนุนยูเครน
เมียเอเย่นต์ค้ายาบ้า ร้องถูกตร.รีด 5 แสน แลกปล่อยตัว พ่วงเรียกเก็บเงินรายเดือน

ดู LIVE รายการ

X

เราใช้ คุ้กกี้ เพื่อให้ทุกคนได้ประสบการณ์การใช้งานที่ดียิ่งขึ้น