“รศ.หริรักษ์” ฟันธงชัด ๆ 4 ข้อ ด้อมส้มต้องทำใจ “พิธา” เตรียมชวดเก้าอี้นายกฯ

11 มิถุนายน 2566 รศ.หริรักษ์ สูตะบุตร อดีตรองอธิการบดีฝ่ายบริหารบุคคล มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก Harirak Sutabutr มีเนื้อหาดังนี้…”ประชาชน 14 ล้านคนชี้ขาดให้พิธาเป็นนายกฯ

 

 

อย่าบังอาจวินิจฉัยรับใช้เผด็จการ” ด้านบนเป็นข้อความที่มีคนชูป้ายในม็อบ 24 มิถุนา นำโดยนาย สมยศ พฤษาเกษมสุข ไปยื่นหนังสือกดดันให้กกต รับรองผลการเลือกตั้งในทันที เมื่อวันที่ 8 มิถุนายนที่ผ่านมา

ในขณะที่ฝ่ายไม่เอาพรรคก้าวไกลเชื่อว่า การที่คุณพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ถือหุ้น itv น่าจะเป็นเหตุให้คุณพิธาถูกตัดสิทธิการเป็นส.ส.อย่างแน่นอน แต่สำหรับการจะเป็นนายกรัฐมนตรีได้หรือไม่ยังไม่ชัดเจน เพราะคุณพิธาเพิ่งโอนหุ้นให้ทายาทคนอื่นไปแล้วก่อนการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีในสภา นักกฎหมายหมายบางคนเห็นว่าเป็นนายกรัฐมนตรีได้ บางคนก็เห็นว่า เมื่อวันที่ยื่นใบสมัครรับเลือกตั้ง และยื่นรายชื่อแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี หากวันนั้นขาดคุณสมบัติการเป็นนายกรัฐมนตรี ก็ต้องถือว่าจบไปแล้ว ไม่สามารถเสนอชื่อเข้าไปโหวตกันในสภาได้อีก

ข่าวที่น่าสนใจ

 

ในขณะเดียวกัน พรรคก้าวไกลและบรรดาด้อมส้ม ก็พยายามทำให้คนในฝ่ายตัวเองเชื่อว่า ไม่ว่าคุณพิธาจะทำผิดหรือไม่ได้ทำผิด การที่มีคนลงคะแนนให้พรรคก้าวไกล 14 ล้านเสียง เป็นการชี้ขาดแล้วว่าให้คุณพิธาเป็นนายกรัฐมนตรี จะทำให้เป็นอย่างอื่นไปไม่ได้ และพยายามทำให้คนเชื่อว่าคุณพิธากำลังถูกกลั่นแกล้งจากฝ่ายตรงข้ามเพื่อสกัดกั้นพรรคก้าวไกล ซึ่งคนจำนวนมากก็เชื่อจนลืมไปว่า นี่เป็นเกมการเมือง และถ้าคุณพิธาไม่ได้ทำอะไรผิด ก็ไม่มีใครทำอะไรคุณพิธาได้ และนี่เป็นเรื่องธรรมดาของคนที่เป็นว่าที่นายกรัฐมนตรี ที่จะต้องถูกขุดคุ้ยตรวจสอบ อันเป็นสัจธรรมที่ต้องยอมรับหากรักจะเล่นการเมือง

อย่างไรก็ดี วันนี้เราจะไม่ไปถกเถียงกันในเรื่องข้างต้น แต่เราจะมาลองพิจารณากันดูว่า คุณพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ มีความเหมาะสมจะเป็นนายกรัฐมนตรีมากน้อยแค่ไหน ถ้ามองเฉพาะที่คุณวุฒิการศึกษา ต้องยอมรับเลยว่า คุณพิธามีความเหมาะสมด้วยประการทั้งปวง เรียนมาทั้งด้านบริหารธุรกิจ และด้านการเมืองการปกครองจากมหาวิยาลัยที่มีชื่อก้องโลก 2 แห่ง จบปริญญาตรีจากมหาวิทยาลัยชั้นนำของไทย หากเทียบกับคุณธนาธรในด้านการศึกษา คุณธนาธรต้องชิดซ้ายไปอย่างไม่ต้องสงสัย

ถ้ามองที่พฤติกรรมของคุณพิธา และเหตุการณ์ต่างๆที่เป็นข้อเท็จจริงที่บ่งชี้ว่าคุณพิธาเป็นคนอย่างไร เราอาจต้องคิดใหม่และต้องชั่งน้ำหนักระหว่างวุฒิการศึกษากับตัวตนที่แท้จริงของคุณพิธาว่าจะให้น้ำหนักส่วนไหนมากกว่ากัน เราลองมาดูกันว่า พฤติกรรมและเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่ทยอยเปิดเผยออกมามีอะไรบ้าง

 

1. คุณพิธาให้สัมภาษณ์ผู้จัดรายการโทรทัศน์รายการหนึ่งเมื่อไม่นานมานี้ว่า ตอนที่ยังศึกษาอยู่ที่สหรัฐอเมริกา ต้องบินกลับมางานศพคุณพ่อ พอดีเกิดการรัฐประหารรัฐบาลคุณทักษิณ ตัวเองเป็นข้าราชการการเมืองช่วยงานดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ถูกทหารตรวจข้าวของและกักตัวไว้จนไปงานศพไม่ทัน ทั้งยังถูกอายัดบัญชีธนาคาร ต้องหาเงินไปจัดงานศพคุณพ่อ สังเกตว่าคุณพิธาพยายามบอกว่าตัวเองก็ได้รับผลกระทบจากการทำรัฐประหารค่อนข้างมาก เกือบจะเรียกได้ว่าถูกทหารกลั่นแกล้งเลยก็ว่าได้

ข้อเท็จจริง: มีคนไปขุดคุ้ยว่าคุณพิธาเคยให้สัมภาษณ์เรื่องเดียวกันนี้ ในรายการโทรทัศน์อีกรายการหนึ่งนานมาแล้วตั้งแต่ปี 2549 คุณพิธาให้สัมภาษณ์ไม่ตรงกันกับที่ให้สัมภาษณ์เมื่อเป็นนักการเมืองแล้ว สังเกตว่าการให้สัมภาษณ์ครั้งนั้นไม่ได้พยายามพูดถึงทหารในด้านลบ แต่บอกว่าเขาก็ต้องตรวจเป็นธรรมดา และแม้ว่าจะไปงานศพช้าสักหน่อยแต่ก็ไปทัน ไม่ได้พูดอะไรเกี่ยวกับการถูกอายัดบัญชีเงินฝาก

นักข่าวยังไปสัมภาษณ์ ดร.ปานปรีย์ พหิทธานุกร ซึ่งเป็นหัวหนัาคณะตัวแทนรัฐบาลไทยที่เดินทางกลับจากการประชุมที่องค์การสหประชาชาติ โดยดร.ปานปรีย์ให้ข้อมูลว่า มีคนฝากคุณพิธาซึ่งเป็นนักเรียนอยู่ที่บอสตัน ให้ร่วมเดินทางมากับเครื่องบินเที่ยวบินพิเศษ และเมื่อเดินทางมาถึงก็ใช้เวลาไม่มากก็เดินทางออกจากสนามบินได้ และตัวดร.ปานปรีย์ก็ไม่ได้ถูกอายัดบัญชีแต่อย่างใด ตัวคุณผดุง ลิ้มเจริญรัตน์ อาของคุณพิธาซึ่งเป็นคนสนิทของคุณทักษิณ ก็ไม่ได้โดยอายัดบัญชีเช่นกัน

2 . กรณีถือหุ้น itv คุณพิธาให้ข่าว และตอบคำถามนักข่าววว่า ถือหุ้นในฐานะผู้จัดการมรดก ไม่ใช่หุ้นของตัวเอง เมื่อไม่กี่วันมานี้มีข่าวว่า คุณพิธาโอนหุ้นไปให้ทายาทคนอื่น เมื่อนักข่าวถามว่า คุณพิธาได้เคยรับโอนหุ้นมาหรือไม่ คุณพิธาตอบว่า ตัวเองไม่ได้เคยรับโอนหุ้นดังกล่าวแต่อย่างใด และพยายามปั่นกระแสว่ามีคนพยายาม ปลุก itv ให้ฟื้นคืนชีพเพื่อสกัดกั้น “พวกเรา”

ข้อเท็จจริง : คุณพิธามีชื่อปรากฏอยู่ในหนังสือ บริคณห์สนธิหรือ บอจ 2 ตั้งแต่ปี 2551 จนถึง 2566 เพิ่งโอนให้ทายาทคนอื่นไปเมื่อไม่กี่วันมานี้เอง หากคุณพิธาถือหุ้นในฐานะผู้จัดการมรดก จะต้องระบุในหนังสือบริคณห์สนธิว่า “ผู้จัดการมรดก” แต่ในหนังสือบริคณห์สนธิมีเพียงช่ือของคุณพิธาเท่านั้น และหากคุณพิธาไม่เคยรับโอนหุ้นเลย ชื่อผู้ถือหุ้นที่ปรากฏอยู่ในหนังสือบริคณห์สนธิจะต้องเป็นชื่อของผู้ถือหุ้นเดิมคือชื่อคุณพ่อคุณพิธา

itv แม้ไม่ได้มีการผลิตรายการโทรทัศน์ออกอากาศในช่อง UHF เช่นเดิมเนื่องจากสำนักนายกรัฐมนตรีได้ยกเลิกสัญญาสัมปทานไปแล้ว แต่ itv ยังไม่เคยจดแจ้งปิดกิจการ มีตัวเลขกำไร และส่งงบการเงินต่อกรมพัฒนาธุรกิจการค้ามาทุกปี ซึ่งหมายความว่า itv อาจลุกขึ้นมาดำเนินธุรกิจได้ทุกเมื่อ

ข้อสังเกต : มีข่าวว่า สาเหตุที่คุณพิธาตัดสินใจโอนหุ้นไปให้ทายาทคนอื่น ก็เพราะต่อให้ขาดคุณสมบัติการเป็นส.ส. แต่อาจยังเป็นนายกรัฐมตรีได้ถ้าในวันที่โหวตเลือกนายกรัฐมนตรี คุณพิธาไม่ได้ถือหุ้น itv แล้ว และอีกสาเหตุหนึ่งคือ คุณพิธาเลือกแนวทางการต่อสู้คดี โดยอ้างว่าได้สละมรดกที่เป็นหุ้น itv แล้ว ดังนั้นเท่ากับว่าคุณพิธาไม่ได้เคยถือหุ้น itv มาก่อนเลย นั่นน่าจะเป็นเหตุผลที่ทำไมคุณพิธาจึงตอบนักข่าวว่า ไม่ได้รับโอนหุ้น itv มาเลย

 

3. ฐานเศรษฐกิจเปิดหลักฐานว่าระหว่างปี 2549 ถึง ปึ 2560 บริษัทออยล์ ฟอร์ไลฟ์ ของครอบครัวคุณพิธาได้ให้เงินกู้ระยะสั้นให้กับบุคคลปริศนา ในระหว่างที่คุณพิธาเป็นกรรมการบริษัท รวมกันแล้วเป็นเงิน 117 ล้านบาท ปีต่อๆมายอดเงินกู้ดังกล่าวนี้ ไม่ได้มีการได้รับชำระหนี้และได้ตัดเป็นหนี้สูญ ไปแล้วทั้งหมด

ข้อสังเกต : ปรากฏการณ์เช่นนี้ คำอธิบายที่เป็นไปได้มากที่สุดคือ มีการ siphon เงินออกจากบริษัทไปใช้ทำอะไรสักอย่างที่เปิดเผยไม่ได้ เรื่องนี้แม้เป็นเรื่องส่วนตัวภายในบริษัทของคุณพิธา แต่เนื่องจากคุณพิธากำลังพยายามจัดตั้งรัฐบาล หากทำได้สำเร็จตัวเองจะได้เป็นนายกรัฐมนตรี ดังนั้นจำเป็นอย่างยิ่งที่คุณพิธาจะต้องชี้แจงเรื่องนี้ต่อสาธารณะว่าเงินกู้จำนวนนี้ใครเป็นคนเอาไป เมื่อไม่ได้ชำระหนี้ ทำไมกลับตัดเป็นหนี้สูญ เงินจำนวนมากถึง 117 ล้านบาท ทำไมจึงไม่ฟ้องร้องดำเนินคดี

จนบัดนี้ คุณพิธาก็ยังไม่ได้ออกมาชี้แจง นั่นแสดงว่าไม่สามารถชี้แจงได้ พรรคก้าวไกลพยายามเน้นเรื่องความโปร่งใสตรวจสอบได้อยู่ตลอดเวลา ถึงกับพยายามจะให้ตรวจสอบทรัพย์สินและการใช้จ่ายของพระมหากษัตริย์ แต่บริษัทของหัวหน้าพรรคกลับไม่ยอมออกมาชี้แจงให้ชัดเจน

4. ฐานเศรษฐกิจเปิดหลักฐานว่า บริษัทออยล์ ฟอร์ไลฟ์ ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2559 ในช่วงที่คุณพิธาเป็นกรรมการบริษัทและเป็นกรรมการผู้จัดการ ระหว่างวันที่ 5 ตุลาคม 2549 ถึงวันที่ 6 มีนาคม 2560 บริษัทมีหนี้สินกับสถาบันการเงินหลายแห่งรวม 460 ล้านบาท นอกเหนือจากทรัพย์สินและบัญชีเงินฝากต่างๆที่จดจำนองเพื่อค้ำประกันหนี้แล้ว คุณพิธาในฐานะกรรมการบริษัทก็ได้เป็นผู้ค้ำประกันหนี้ทั้งหมดด้วยคนหนึ่ง ในปี 2562 บริษัทผิดนัดชำระหนี้กับธนาคารหลายแห่ง และเจ้าหนี้ได้ฟ้องร้องต่อศาลขอให้ชำระหนี้ ต่อมาบริษัทได้ยื่นคำร้องต่อศาลล้มละลายกลางเพื่อขอฟื้นฟูกิจการ ศาลได้มีคำสั่งรับคำร้องเมื่อวันที่ 14 เมษายน 2565

ข้อสังเกต : ยังไม่ชัดเจนว่า ในบัญชีทรัพย์สิน หนี้สิน ที่คุณพิธายื่นต่อปปช.ได้รวมรายการค้ำประกันหนี้สินก้อนโตก้อนนี้แล้วหรือไม่ ขณะนี้ยังอยู่ในระหว่างการตรวจสอบของกกต. ถ้าไม่ได้ยื่น คุณพิธาอาจโดนคดีปกปิดบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินอีกคดีหนึ่ง

จะเห็นว่าข้อเท็จจริงข้างต้นสวนทางกับชื่อเสียงที่เป็นที่รู้จักกันในวงสังคมก่อนที่จะลงเล่นการเมืองว่า คุณพิธาเป็นนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จอย่างสูง สามารถกอบกู้กิจการของครอบครัวจากที่มีหนี้สินหลายร้อยล้าน และประสบภาวะขาดทุน กลับมาเป็นทำกำไร และเป็นบริษัทชั้นนำในระดับเอเซียเลยทีเดียว ความจริงที่ปรากฏขึ้น เป็นการบ่งชี้ว่า ชื่อเสียงของคุณพิธาที่เราได้ยินกันในวงสังคมล้วนไม่เป็นจริงและเกิดจากการสร้างภาพทั้งสิ้น

เชื่อว่าต่อจากนี้ไป ความจริงต่าง ๆ เกี่ยวกับเรื่องของคุณพิธาจะค่อย ๆ พรั่งพรูออกมา ซึ่งล้วนน่าจะเป็นข่าวร้ายสำหรับตัวคุณพิธา เมื่อเป็นเช่นนี้ หากด้อมส้มยังคิดว่าคุณพิธายังเหมาะสมจะเป็นนายกรัฐมนตรี ก็เป็นสิทธิของเขา แต่ไม่มีสิทธิอ้างว่าเป็นเพราะมีเสียงชี้ขาดแล้ว 14 ล้านเสียง เพราะ 14 ล้านเสียง นอกจากจะยังไม่ใช่เสียงส่วนใหญ่ของประเทศแล้ว ยังไม่ใช่ทุกคนที่เลือกเพราะต้องการให้คุณพิธาเป็นนายกรัฐมนตรี อีกทั้งในวันเลือกตั้ง ข้อมูลต่าง ๆ เกี่ยวกับตัวคุณพิธายังไม่ได้ปรากฏออกมาทั้งหมด หากทราบเช่นนี้ก่อนการเลือกตั้ง พรรคก้าวไกลอาจไม่ได้เป็นพรรคที่ได้เสียงเป็นที่หนึ่งก็ได้

ด้อมส้มยิ่งไม่มีสิทธิไปกดดัน กระทั่งบีบบังคับให้วุฒิสมาชิกลงคะแนนเสียงให้ตามที่ตัวเองต้องการ วุฒิสมาชิกเขาก็มาตามรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันซึ่งจะอย่างไรก็ผ่านประชามติมาแล้ว วุฒิสมาชิกแต่ละคนมีความรู้และมีวุฒิภาวะเพียงพอที่จะพิจารณาได้ว่า ผู้ที่ได้รับการเสนอชื่อเป็นนายกรัฐมนตรีแต่ละคนมีความเหมาะสมหรือไม่เพียงใด วุฒิสมาชิกมีหน้าที่ลงคะแนนเพื่อประเทศชาติโดยรวมไม่ใช่เพื่อตามกระแสที่มีขบวนการปั่นขึ้น

มาถึงขั้นนี้แล้วเชื่อเถิดว่า คุณพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ จะไม่ได้เป็นนายกรัฐมนตรีอย่างแน่นอน ขอเพียงอย่าให้ต้องถูกดำเนินคดีอาญาจนต้องติดคุกติดตะราง ก็ถือว่าเป็นโชคดีมากแล้ว ฝืนอะไรฝืนได้ ฝืนวาสนาตัวเอง เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้เลย พระสยามเทวาธิราชมีจริง ศักดิ์สิทธิ์จริง ขอจงเชื่อ

 

 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ข่าวล่าสุด

“เอกภพ” ได้ประกันตัว ปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา ปมให้ข้อมูลเท็จดิไอคอน จ่อฟ้องกลับ
สามเชฟดังร่วมรังสรรค์เมนูเพื่อการกุศลทางการแพทย์
"ทนายบอสพอล" เผยเป็นไปตามคาด "เอก สายไหม" ถูกจับ จ่อดำเนินคดีหมิ่นประมาท เรียกค่าเสียหาย 100 ล้าน
ศาลออกหมายจับ 'เจ๊หนิง' พร้อมสามีและหลาน ร่วมกันแจ้งความเท็จ 'ภรรยาบิ๊กโจ๊ก'
อิสราเอลถล่มเลบานอนดับครึ่งร้อย
หมายจับ ICC กระทบอิสราเอลอย่างไร
เปิดวิสัยทัศน์ประธานเครือข่ายธุรกิจ Bizclub นครราชสีมาคนใหม่ “กิม ฐิติพรรณ จันทร์ประทักษ์”
เกาหลีใต้ชี้รัสเซียส่งระบบป้องกันภัยทางอากาศให้เกาหลีเหนือ
สหรัฐเมินไฮเปอร์โซนิครัสเซียลั่นไม่หยุดหนุนยูเครน
เมียเอเย่นต์ค้ายาบ้า ร้องถูกตร.รีด 5 แสน แลกปล่อยตัว พ่วงเรียกเก็บเงินรายเดือน

ดู LIVE รายการ

X

เราใช้ คุ้กกี้ เพื่อให้ทุกคนได้ประสบการณ์การใช้งานที่ดียิ่งขึ้น