จากกรณีที่รายการข่าวสามมิติ ทางช่อง 3 ได้เปิดเผยคลิปส่วนหนึ่งของการประชุมผู้ถือหุ้นไอทีวี ประจำปี 2566 จนในเวลาต่อมา มีการวิพากษ์วิจารณ์อย่างมาก และอีกประเด็นที่สังคมจับตามอง คือ “นิกม์ แสงศิรินาวิน” อดีตผู้สมัคร ส.ส.พรรคอนาคตใหม่ เมื่อปี 2562 และเป็นผู้สมัคร ส.ส. พรรคภูมิใจไทย กทม. ในการเลือกตั้งครั้งล่าสุด เนื่องจากนายนิกม์ เป็นคนแรก ๆ ที่ออกมาพูดถึงกรณีการถือหุ้นไอทีวี ของนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ก่อนที่จะมีการประชุมผู้ถือหุ้น และก่อนที่นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ จะยื่นเรื่องร้องต่อ กกต. ให้ตรวจสอบเอาผิดนายพิธานั้น
โดยมีการเปิดเผยข้อมูลว่า นายนิกม์ และ นายภาณุวัฒน์ ซึ่งเป็นผู้ถามคำถามเกี่ยวกับการดำเนินการในฐานะสื่อของไอทีวี นั้นรู้จักสนิทสนมกันมาก่อน จนกลายเป็นคำถามจากสังคมย้อนกลับไปที่ตัวนายนิกม์ ว่า อยู่เบื้องหลังกรณีนี้หรือไม่
ล่าสุดทำให้นายนิกม์ ได้เคลื่อนไหวโพสต์ข้อความและรูปภาพผ่านเพจ “นิกม์ แสงศิรินาวิน-เบอร์ 8 ส.ส. กทม. หนองจอก คลองสามวา-พรรคภูมิใจไทย” เมื่อคืนที่ผ่านมา ระบุว่า “นอกจากไม่เคารพกติกา จะเอาแต่กติกุ น้ำใจนักกีฬาก็ไม่มี ศาลเตี้ยก็มาด้วย”
รวมถึงชี้แจงว่า “24/7 ผมว่าผมเป็นคนที่หมื่นที่ทราบข้อมูลนะครับ ข้อมูลเปิดเผยใครๆ ที่ใส่ใจก็จะรู้กัน ตั้งแต่วันที่ปิดสมุดจดทะเบียนผู้ถือหุ้น 07/4 แล้วมั้ยครับ สงสัยโพสต์และเตือนให้มอบตัวก็เพราะมีน้ำใจ อยากแข่งขันกันอย่างเท่าเทียม ไม่พร้อมแข่งก็ไว้มาสมัครรอบหน้าสิครับ แต่ถ้าจงใจถือ ก็ถือว่าร้ายเหลือเกิน
ก็ทุกการกระทำมีผลกระทบ ความเห็นส่วนตัวผม ผิดว่าตามผิดถูกว่าตามถูก ที่จริงควรไปรอฟังของจริง หากเรื่องถึงศาลสามารถขอข้อมูลจาก บริษัท ITV น่าจะดีที่สุดนะครับ เพราะในทุกๆ วาระมีคำถาม
สื่อมวลชนที่ดีควรเป็นกลางในการนำเสนอข่าวสาร ทุกวันนี้มีมือถือเครื่องเดียวเป็นสื่อแล้ว อย่าเป็นศาลเตี้ยเลยครับ กระบวนการยุติธรรมมี ไม่มีน้ำใจทำไมไม่บอกจะได้ไม่แข่งด้วย มีกติกานะดีแล้ว ถ้ากติกุจะวุ่นวาย
และคุณซาแซงทั้งหลายจะด่าว่าอะไรก็เหลือทางเดินให้บ้างนะ ไม่ใช่มาไล่ให้ผูกคอตาย สาปแช่งกันโดยไม่รู้จักกัน มันจะดีหรอครับ ผมเกิดปีจอนะครับ”
นอกจากนี้ ยังได้โพสต์รูปภาพข้อความที่ระบุว่า เป็นคำถามจากนายภาณุวัฒน์ ที่ถามในที่ประชุมว่า “นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ถือหุ้นไอทีวีจริงหรือไม่ มีจำนวนเท่าใด บริษัท ไอทีวี มีวัตถุประสงค์ในการดำเนินกิจการอย่างไร รายได้ปัจจุบันมีรายได้จากการทำสื่อไหมครับ” และ “การที่มีนักการเมืองถือหุ้นจะมีผลกับการตัดสินคดีไหมครับ”