“เรืองไกร” ลุยจัดเต็ม งัดหลักฐานใหม่มัด “พิธา” ตอกย้ำไอทีวียังทำสื่อ เทียบชัดซ้ำรอยธนาธร

"เรืองไกร" ลุยจัดเต็ม งัดหลักฐานใหม่มัด "พิธา" ตอกย้ำไอทีวียังทำสื่อ เทียบชัดซ้ำรอยธนาธร

จากกรณีที่รายการข่าวสามมิติ ทางช่อง 3 ได้เปิดเผยคลิปส่วนหนึ่งของการประชุมผู้ถือหุ้นไอทีวี ประจำปี 2566 จนในเวลาต่อมา มีการวิพากษ์วิจารณ์มาก

โดยต่อมา ทางด้านนายคิมห์ สิริทวีชัย กรรมการผู้อำนวยการ บริษัทอินทัช โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) ได้ลงนามในหนังสือถึง กรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศ ถึงประเด็นที่สังคมกำลังวิพาก์วิจารณ์ในขณะนี้ ระบุว่าทางบริษัทได้รับทราบข้อมูล และได้ให้ทางคณะกรรมการและฝ่ายจัดการของไอทีวี ดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงในประเด็นดังกล่าวที่เกิดขึ้นและหากมีประเด็นใด ๆ ที่จะต้องดำเนินการให้สอดคล้องกับข้อเท็จจริง ทางไอทีวีจะดำเนินการให้เร็วที่สุดนั้น

ล่าสุดนายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ สมาชิกพรรคพลังประชารัฐ เปิดหลักฐานการโอนหุ้นบริษัท ไอทีวี จำกัด (มหาชน) ของนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรค และแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีพรรคก้าวไกล โดยเป็นหลักฐานจากศูนย์รับฝากหลักทรัพย์ (ประเทศไทย) จำกัด ระบุนายพิธา โอนหุ้นจำนวน 42,000 หุ้นให้กับนายภาษิณ ลิ้มเจริญรัตน์ ซึ่งเป็นน้องชาย ในวันที่ 25 พ.ค. 2566 รวมถึงเปิดงบการเงินฉบับย่อของบริษัทไอทีวี และบริษัทย่อย ที่ระบุว่า 24 ก.พ.2566 มีการนำเสนอการลงสื่อให้กับกิจการที่เกี่ยวข้อง และวันที่ 28 เม.ย. ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทครั้งที่ 2/2566 มีมติรับทราบรูปแบบการดำเนินธุรกิจของบริษัทโดยเป็นผู้ให้บริการลงสื่อโฆษณา

โดยนายเรืองไกร กล่าวว่า การเปิดเผยข้อมูลในครั้งนี้เพื่อเตือนความจำนายพิธา และพรรคก้าวไกล ที่ตอบว่าจำไม่ได้ว่าโอนหุ้นไปเมื่อไหร่ ส่วนเอกสารงบการเงินฉบับย่อที่ตนนำมาเปิดเผยเป็นการบ่งชี้ว่าบริษัทมีการดำเนินธุรกิจสื่อ

“เอกสารสำคัญที่ควรจะดูก็คือหมายเหตุประกอบงบการเงินไม่ใช่คำถามท้ายรายงานการประชุมที่มีการนำออกมาเผยแพร่กันในขณะนี้ โดยหมายเหตุข้อ 10 ซึ่งออก ณ วันที่ 31 มี.ค. 2566 ระบุว่า 24 ก.พ.2566 เขาทำธุรกิจสื่อแล้วตามที่เขาอธิบายเป็นสื่อมวลชน ไม่ได้กลับมาทำสถานีไอทีวีแล้ว เขาทำสื่ออื่นแล้ว “ นายเรืองไกร กล่าว

 

ข่าวที่น่าสนใจ

นายเรืองไกร ยังกล่าวอีกว่า ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 98(3) กำหนดเพียงห้ามผู้สมัครรับเลือกตั้งถือหุ้นในกิจการ หนังสือพิมพ์ หรือสื่อมวลชนใดๆ ซึ่งกรณีนี้เข้าลักษณะของสื่อมวลชนใดๆ และการที่กกต.ตีตก 3 คำร้องถือหุ้นสื่อของนายพิธา ก็ไม่เป็นไร เพราะเมื่อกกต.ประกาศรับรองผลส.ส. นายพิธา มีสถานะเป็นส.ส.แล้วตนก็จะยื่นร้องใหม่ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 82 ซึ่งยิ่งจะเป็นผลดีเพราะเรื่องจะไปที่ศาลรัฐธรรมนูญซึ่งจะมีความแน่นอนกว่าการไปศาลฎีกา

“ที่มีการเปิดคลิปรายงานการประชุมผู้ถือหุ้นออกมากันในขณะนี้ไม่ใช่สาระสำคัญของประเด็นที่ร้อง เพราะกฎหมายเขียนว่าห้ามเป็นผู้ถือหุ้นในกิจการหนังสือพิมพ์ และสื่อมวลชนใด ๆ พยานหลักฐานที่ควรไปดูคือ 1.นายพิธา ถือหุ้นตามทะเบียนผู้ถือหุ้นหรือไม่ ไม่ใช่ผู้ถือหุ้นตามรายงานการประชุม 2.ทำธุรกิจสื่อมวลชนใด ๆ ก็ไปดูวัตถุประสงค์การจดทะเบียนบริษัท และดูจากหมายเหตุงบการเงิน ส่วนไปประชุมผู้ถือหุ้น ถามตอบแล้วแล้วจดถูกผิดบ้างก็เป็นเรื่องของผู้ถือหุ้นกับบริษัท ซึ่งเมื่อมีการจดผิดผู้ถือหุ้นรายนี้ก็ต้องไปแจ้งให้มีการแก้ไขรายงานการประชุม ไม่ใช่ไปกล่าวหาว่าเขาจดผิดเพราะมีวัตถุประสงค์ทางการเมืองมันจะเกี่ยวอะไร ก็เหมือนกับการประชุมกรรมาธิการ สภาผู้แทนราษฎรที่หลังการประชุมก็จะให้สมาชิกมาตรวจดูว่ามีการจดรายงานการประชุมถูกต้องหรือไม่ ถ้าจดผิดก็ให้ไปแก้ไขก็เท่านั้นเอง”

เมื่อถามว่าข้อมูลที่นำมาเปิดเผยในขณะนี้เหมือนต้องการชี้ว่าบริษัทไอทีวี ไม่ได้ดำเนินกิจการแล้ว นายเรืองไกร กล่าวว่า ไม่เกี่ยว การจะทำสื่อหรือไม่จะต้องดูที่รายได้ ดูวัตถุประสงค์การจัดตั้งบริษัท เหมือนที่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยกรณีของนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ และนายธัญญ์วาริน สุขะพิสิษฐ์ ซึ่งศาลก็ไม่ได้ดูที่รายงานผู้ถือหุ้นที่มีการถามตอบกัน

ส่วนที่ระบุว่าศาลปกครองสูงสุดเคยมีคำวินิจฉัยเมื่อปี 2556 ว่า บริษัทไอทีวี ปิดไปแล้วไม่ปรากฎหลักฐานการดำเนินกิจการวิทยุโทรทัศน์ นายเรืองไกร กล่าวว่า ก็เป็นส่วนหนึ่ง แต่ไม่ได้เกี่ยวกับการที่นายพิธา ถือหุ้นแล้วไม่ผิด เพราะกฎหมายห้ามผู้สมัครไม่ให้ถือหุ้นสื่อ ซึ่งนายพิธา ก็มีชื่อเป็นผู้ถือหุ้นบริษัทไอทีวี 42,000 หุ้น โดยไม่ได้มีการระบุท้ายการถือหุ้นว่าเป็นผู้จัดการมรดก และหมายเหตุงบการเงินปี 2566 ของบริษัทก็ระบุว่าบริษัททำสื่อมวลชนแขนงอื่นนอกจากสถานีไอทีวีแล้ว เมื่อวันที่ 24 ก.พ.2566 และจะรับรู้รายได้ในไตรมาส 2 นี้

“คำว่าสื่อมวลชนหมายความว่าอะไร ตอนรัฐธรรมนูญ 2550 ระบุถึงวิทยุ โทรทัศน์ หนังสือพิมพ์ และเดี๋ยวนี้คำว่าแมสมีเดียมันมีทั้งแอนนาล็อค และดิจิทัล ซี่งก็เข้าตามวิชาการอยู่แล้ว และถามว่าสมัยที่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยกรณีการถือหุ้นของนายธนาธร บริษัท วีลัค มีเดีย จำกัด ก็ไม่ได้ทำสถานีโทรทัศน์เหมือนกับไอทีวี หรือพิมพ์หนังสือเหมือนมติชน หรือไทยรัฐ แต่เขาพิมพ์หนังสืออื่น จึงไม่ต้องไปดูว่าไอทีวีมีการออกอากาศ หรือยุติการออกอากาศแล้ว จะแก้ประเด็นเอาเก่ง ๆ แม่น ๆ หน่อย มีคนตั้งเป็นร้อย คนเชียร์ตั้ง 14 ล้าน หาคนเก่งไม่ได้เลยหรือ”

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ข่าวล่าสุด

ทร.เอาจริง! ติดเขี้ยวเล็บให้ปชช.แนวชายแดน สอนจับปืน-ศัตรูมาพร้อมซัดโป้ง
คดีสังหาร สจ.โต้ง ส่อบานปลาย คลิปเสียงโผล่อีกไขปมยิง โยงเงินปริศนา 70 ล้าน
"อดีตสว.สมชาย" ชี้ฝ่ายอนุรักษ์เดินหมากผิด เปิดโอกาส"ระบอบทักษิณ"ฟื้นชีพรอบวกส้ม
ม่วนกรุ๊ป เริ่มแล้ว เทศกาลตีคลีไฟชัยภูมิ หนึ่งเดียวในโลก 1 ครั้งในรอบปี สุดคึกคัก
ชาวเวียดนามในโฮจิมินห์ดีใจมีรถไฟใต้ดินใช้แล้ว
ผู้นำสูงสุดปัดอิหร่านไม่มีกองกำลังตัวแทน
ฮูตีเคลมผลงาน F/A-18 โดนสอยร่วงทะเลแดง
สื่อทำเนียบฯ จัดเต็มฉายาครม.ปี 67 "รัฐบาล (พ่อ) เลี้ยง" นายกฯท่องโพย วาทะแห่งปี "สามีคนใต้"
“ว้าแดง”เหิมหนัก! สั่งคนไทยห้ามเก็บของป่า ชาวบ้านผวา-ซ้อมอพยพถี่ยิบ
เมีย-แม่ยาย หอบเงินล้าน บุกติดสินบนตำรวจ ช่วยผัวค้าเฮโรอีน สุดท้ายถูกซ้อนแผนโดนรวบตัว

ดู LIVE รายการ

X

เราใช้ คุ้กกี้ เพื่อให้ทุกคนได้ประสบการณ์การใช้งานที่ดียิ่งขึ้น