“ดร.นงสคราญ”แจงความจริงอีกมุม หลัง “รมว.ดอน” โดนถล่ม เหตุส่งจดหมายเชิญชาติอาเซียนถกแก้ปัญหาเมียนมา

"ดร.นงสคราญ"แจงความจริงอีกมุม หลัง "รมว.ดอน" โดนถล่ม เหตุส่งจดหมายเชิญชาติอาเซียนถกแก้ปัญหาเมียนมา

จากกรณีเมื่อวันที่ 16 มิถุนายน รอยเตอร์ได้รายงานว่า รัฐบาลรักษาการของไทย กำลังเสนอให้มีการ “มีส่วนร่วมอย่างเต็มที่อีกครั้ง” กับผู้นำทหารเมียนมา และได้เชิญรัฐมนตรีต่างประเทศ ประเทศในอาเซียน มาเข้าร่วมประชุมอย่างไม่เป็นทางการ ในวันอาทิตย์ เพื่อหารือเกี่ยวกับแผนสันติภาพที่ชะงักงันไป รอยเตอร์เปิดเผยว่า จดหมายดังกล่าวได้มีขึ้นในวันที่ 14 มิถุนายน โดยนายดอน ปรมัตถ์วินัย ได้เชิญรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียน ซึ่งได้รับการยืนยันจากแหล่งข่าว 3 แหล่ง ที่รับรู้เกี่ยวกับการประชุมนี้ จนต่อมาได้มีกระแสวิพากษ์วิจารณ์ นายดอน ปรมัตถ์วินัย อย่างหนัก ต่อประเด็นนี้ ซ้ำยังมีการตั้งคำถามถึงการทำหน้าที่ ภายใต้รัฐบาลรักษาการอีกด้วย

 

 

 

 

ข่าวที่น่าสนใจ

ล่าสุด ดร.นงสคราญ อดทน ได้แสดงความคิดเห็นต่อประเด็นนี้ ผ่านทางเฟซบุ๊ก Nongsakran Odton ระบุว่า

 

วันนี้ขออนุญาตรายงานสถานการณ์ข่าวต่างประเทศที่เกี่ยวข้องกับประเทศไทยพร้อมคำชี้ของกระทรวงการต่างประเทศนะคะ เพื่อเป็นข้อมูลที่ถูกต้องค่ะ สำนักข่าวรอยเตอร์ รายงานอ้างแหล่งข่าววงในหลายรายว่า รัฐบาลรักษาการของไทยเสนอแผนการทำงานของอาเซียนร่วมกับรัฐบาลทหารเมียนมาแบบเต็มรูปแบบ โดยการหารืออย่างไม่เป็นทางการจะเริ่มขึ้นในวันนี้ (18 มิ.ย.)

รายงานข่าวเอ็กซ์คลูซีฟของสำนักข่าวรอยเตอร์ ระบุว่า เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา (16 มิ.ย.) ผู้สื่อข่าวของสำนักข่าวรอยเตอร์ และแหล่งข่าววงในสามรายได้เห็นจดหมายเชิญของทางการไทยจากนายดอน ปรมัตถ์วินัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของไทย ถึงบรรดารัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของชาติสมาชิกอาเซียนลงวันที่ 14 มิ.ย.

 

 

 

แหล่งข่าวสองรายที่รับทราบเกี่ยวกับการประชุมที่จะมีขึ้นในวันอาทิตย์นี้กล่าวกับรอยเตอร์ว่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของเมียนมาได้รับคำเชิญดังกล่าว เมื่อผู้สื่อข่าวรอยเตอร์สอบถามผ่านโทรศัพท์ไปยังโฆษกกองทัพเมียนมาพบว่าไม่มีผู้รับสาย

 

ขณะที่แหล่งข่าวทั้งสามคนบอกกับรอยเตอร์ว่า อินโดนีเซีย ในฐานะประธานอาเซียนปฏิเสธที่จะเข้าร่วมการหารือครั้งนี้ ต่อมานักข่าวของสำนักข่าวรอยเตอร์ ได้สอบถามไปยังรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของอินโดนีเซียได้คำตอบว่าไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับการเชิญหารือมาก่อน อย่างไรก็ตาม สำนักข่าวรอยเตอร์ ใช้ความพยายามในการตรวจสอบอีกทางด้วยการสอบถามไปยังรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของสิงคโปร์ ซึ่งอยู่ระหว่างการเดินทางเยือนกรุงวอชิงตัน ประเทศสหรัฐ

 

ข่าวหนังสือพิมพ์หลายฉบับทำให้ดูเหมือนว่า รัฐบาลรักษาการณ์ของท่าน พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา กำลังคบคิดอะไรกันอยู่กับรัฐบาลเมียนมา ดังนั้น จึงขอนำการแถลงข้อเท็จจริงจากกระทรวงการต่างประเทศนำมาชี้แจงแถลงไขนะคะ ใครที่คิดจะ ด้อยค่า ดิสเครดิตลุงตู่ ต้องบอกว่า ลุงแข็งแกร่งดังศิลาอาสน์ อะไรที่จะกระทบกับประเทศชาติบ้านเมืองลุงไม่ทำหรอกค่ะ และ ใช้วิถีทางการฑูตประนีประนอมตลอด เพื่อให้ประเทศชาติเกิดความมั่นคงวัฒนาสถาพร ค่ะ

แถลงการณ์โฆษกกระทรวงการต่างประเทศ

๑๘ มิถุนายน ๒๕๖๖

ภูมิหลัง
▪ มีการปล่อยข่าวให้กับสำนักข่าว Reuters เรื่องการประชุมพบปะแบบการสนทนาอย่างไม่เป็นทางของกลุ่มประเทศที่ได้รับผลกระทบจากปัญหาความขัดแย้งในประเทศเมียนมาที่จะมีขึ้นที่ ประเทศไทย วันที่ ๑๘ มิถุนายนนี้ ว่าเป็นการกระทำที่บ่อนทำลายความเป็นเอกภาพ ของอาเซียน
▪ ข้อตำหนิที่ตามมาคือ

ด้านสาระ การจัดประชุม ของประเทศไทยเป็นการไม่สมควร จุ้นจ้าน ไม่ไปตามระเบียบกฎเกณฑ์ของอาเซียน และทำให้ประเทศในอาเซียน แตกกัน

รัฐบาลเมียนมา เป็น รัฐบาลที่ทำทารุณกรรม กับ ประชาชน มิบังควรเข้าไปเกี่ยวข้องด้วย ตามหลักสากล

ด้านการเมือง เป็นรัฐบาลทำเรื่องนี้อย่างปิด ๆ บัง ๆ ลับ ๆ ล่อล่อ ส่อพิรุธว่าตัวเองก็รู้ว่ากำลังทำผิดและร้ายกว่านั้นคือ ตนเองเป็นแค่ รัฐบาลรักษาการ จึงไม่สมควรถึงขั้นผิดกฎหมาย กระทรวงการต่างประเทศที่ริเริ่มจัดประชุมนี้ขี้นมา ควรรอให้ รัฐบาลใหม่เป็นผู้ต้ดสินใจดำเนินการใด ๆ ที่เขาเห็นว่าสมควรเอง ประเด็นการเมืองนี้เริ่มมีนักการเมืองจำนวนมากขึ้นเรื่อย ๆ เข้ามากล่าวโทษ และตำหนิรุนแรงและขยายวงกว้างขึ้น เพื่อผล ประโยชน์ทางการเมืองของตน

คำชี้แจง
1. การเชิญมาร่วมพูดคุยอย่างไม่เป็นทางการนี้ ไม่ได้ทำในกรอบอาเซียนแต่อย่างใด แต่จะช่วยสนับสนุนความพยายามของอาเซียนในการแก้ไข ปัญหาเมียนมาได้ ทั้งนี้ประเทศไทยได้แจ้งอย่างเป็นทางการต่อที่ ประชุม ARF ของอาเซียนที่กรุงพนมเปญเมื่อปี ๒๕๖๕ ว่า ประเทศไทยจะดำเนินการให้มีการพูดคุยเพื่อหาวิธีซึ่งจะได้มาเพื่อการแก้ ปัญหาในเมียนมาอย่างสันติในทุกกรอบ รวมทั้ง ในกรอบที่เรียกว่า การทูต ๑.๕ ด้วย (กรอบ ๑ คือ กรอบที่เป็นการ ประชุมของราชการ ทั้งที่เป็นทางการและไม่เป็นทางการ กรอบ ๒ ภาควิชาการ กรอบ ๑.๕ คือการประชุมที่มีทั้งภาคราชการและวิชาการ) ทั้งนี้ ที่ ประชุมอาเซียนรับทราบและไม่มีผู้คัดค้าน เพราะเป็นเรื่องที่ทุกประเทศทำกันเป็นปกติอยู่แล้ว

 

2. การจัดให้มีการประชุมอย่างไม่เป็นทางการเกี่ยวกับเรื่องประเทศเมียนมานี้ไม่ใช่เพิ่งจัดครั้งนี้ครั้งแรก จัดมาหลายครั้งแล้ว ในหลากหลายรูปแบบ และหลายระดับ ซึ่ง ระดับ รมว. ตปท. นี้จัดมาแล้ว ๒ ครั้ง ครั้งนี้เป็นครั้งที่ ๓ และทุกครั้ง ประเทศไทยก็ไม่ได้ปิดบังอาเซียน แต่ตรงกันข้าม ได้แจ้งให้ รมว. กต. ของประเทศอาเซียนทราบทุกครั้ง และเชิญมาด้วยหากเห็นโอกาสที่อาเซียนจะต่อยอดใช้เป็น ประโยชน์ได้ รวมทั้งที่เคยจัดให้ รมว. กต. ของ อินโดนีเซีย ได้พบกับ รมว. กต. ของเมียนมาไปแล้ว และต่อมาก็เปิดโอกาสให้ รมว. กต. ของเมียนมาได้มีพบกับ ผู้แทนของสหประชาชาติ และนักธุรกิจไทยที่กำลังได้รับผลกระทบจากปัญหาภายในของเมียนมาให้มีโอกาสพูดคุยกับ รมว.ด้านเศรษฐกิจของ เมียนมาโดยตรง ทำให้ปัญหาหลายอย่างคลี่คลายไปได้ นอกจากนั้นก็ยังมีการจัด ประชุมที่ไม่ใช่ระดับ รมว. กต. แต่เป็นองค์และภาคส่วน ที่สนใจในการหาทางแก้ไข ปัญหาเมียนมาโดยวิธีสันติ ตลอดจนนักวิชาการ มาร่วมการสัมมนา ในหัวข้อที่สำคัญ ๆ เช่น ปัญหาอาชญากรรมข้ามชาติ ที่หลายประเทศกำลังประสบ ปัญหาทั้งหมดนี้ เป็นการดำเนินงานอย่างต่อเนื่อง และสามารถต่อยอดซึ่งกันและกันได้ โดยเน้นว่าจะไม่มีการนำเอาเรื่องที่พูดคุยกันออกมาเปิดเผยภายใต้กฎที่เรียกว่า Chatum House Rules เพื่อให้การสนทนาทำได้อย่างตรงไปตรงมาและเปิดเผย สร้างความไวนื้อเชื่อใจ ไม่ต้องกลัวว่าสิ่งที่ตนเองพูดจะออกมาเป็นข่าวหน้า ๑ ทั้งหมดนี้ ประเทศไทยยึดถือหลักสากลที่ให้ความสำคัญกับการทูต และการเจรจาในการแก้ไขปัญหาโดยสันติวิธี เพื่อประโยชน์ของประชาชนธรรมดาที่ไม่ได้มีส่วนร่วมในความขัดแย้ง ไม่ให้มีการเสียชีวิต หรือเลือดเนื้อของประชาชนคนเดินดิน

3. ย้ำว่า การพูดคุยเป็นสิ่งจำเป็นพื้นฐานของการทูตทั่วโลก เพื่อแสวงหาทางออกโดยสันติ ซึ่งเป็นสิ่งที่หลายประเทศเห็นพ้องกันสำหรับกรณีเมียนมา นอกจากนี้ ประเทศไทยไม่เชื่อว่าการหาทางออกอย่างสันติจะเกิดขึ้นได้หากไม่มีการพูดคุยเพื่อสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจ กันก่อน ที่จะไปบังคับให้คนนั้นทำเช่นนั้นเช่นนี้ตามที่เราเห็นสมควร หรือต้องการทำเองแล้วนั้น โอกาสจะเกิดขึ้นได้ยาก หลักการ ของอาเซียนเองจึงเน้นเรื่องการปรึกษาหารือ (consultations) การร่วมมือ (cooperation) และฉันทามติ (Consensus) มาตั้งแต่เริ่มก่อตั้งอาเซียน ทั้งยังเน้นเรื่องการไม่เข้าไปแทรกแซงกิจการภายในซึ่งกันและกัน ซึ่งทำให้ ประเทศหลาย ที่เคยมี ปัญหากัน และแต่ละประเทศก็มีแผลของตัวเองต่าง ๆ กันไป ไม่ต้องทะเลาะกัน แต่สามารถร่วมมือกันได้ แม้มีความแตกต่าง และสิ่งนั้นทำให้อาเซียนสามารถเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ และการเมืองมาได้ในปัจจุบันจนเกิดคำที่เรียกว่า ความเป็นแกนกลางของอาเซียน (ASEAN Centrality) ขึ้นมาได้จากความเป็นปึกแผ่นและมีเอกภาพ ทำให้อาเซียนสามารถมีบทบาทนำท่ามกลางความท้าทาย และความหลายหลากในหลาย ๆ ด้านของประเทศ สมาชิก

4. การประชุมที่เป็นการพูดคุยอย่างไม่เป็นทางการนี้ ไม่ใช่เป็นนโยบายใหม่ แต่เป็นการดำเนินงานอย่างต่อเนื่องมาเกือบ ๒ ปีแล้ว และผลประโยชน์ของประเทศไทยเป็นเรื่องที่ทุก รัฐบาลต้องดูแลอย่างดีที่สุด ไม่ใช่จะใส่เกียร์ว่างได้ การสู้รบตามชายแดน ก็ยังมีอยู่ตลอดเวลา การลักลอบยาค้าเสพติด การค้ามนุษย์ การลักลอบค้าอาวุธ เกิดขึ้นทุกทุกนาที เพราะตราบใดที่ยังหาทางยุติความขัดแย้งใน เมียนมาด้วยวิธีสันติได้ อาชญากรรมข้ามชาติเหล่านี่มีแต่จะขยายตัว การค้าชายแดนไทยมูลค่ากว่า ๒ แสนล้าน ก็กระทบกระเทือนอย่างหนัก

5. ในฐานะประเทศเพื่อนบ้านที่มีชายแดนติดกับ เมียนมา ถึง ๒,๔๐๐ กม. ไทยมีท่าทีที่คงเส้นคงวาที่ต้องการเห็นสันติภาพและเสถียรภาพกลับคืนสู่เมียนมาอย่างยั่งยืนอย่างไม่ล่าช้า โดยสนับสนุนการพูดคุยกันเพื่อหาทางออกโดยสันติและยุติการใช้ความรุนแรงเพื่อเสถียรภาพกลับคืนสู่เมียนมาอย่างยั่งยืน อันจะเป็นประโยชน์มิใช่แต่ประเทศไทยเท่านั้นเป็น ประโยชน์ของอาเซียนและภูมิภาคนี้ด้วย

 

6. ตลอดเวลาที่ผ่านมาประเทศไทยมิใช่ละเลยความช่วยเหลือด้านมนุษยชนให้กับ ประชาชนเมียนมา และประเทศไทยเป็นประเทศแรกในอาเซียนที่ มีการจัดตั้ง Humanitarian Task Force ขึ้นที่กระทรวงการต่างประเทศโดย รมว. กต. เป็นประธานเอง โดยประสานงานกับองค์กรต่างๆทั่วโลกรวมทั้งองค์กรต่าง ๆ ของ สหประชาชาติหลายองค์กร ในการหาทางช่วยเหลือ ประชาชนที่กำลังประสบ ปัญหารุนแรงในหลาย ๆ เรื่อง และ กระทรวงการต่างประเทศก็ได้ให้ความช่วยเหลือในด้านนี้ทั้งในรูปทวิภาคี ทั้งที่ร่วมมือกับอาเซียน และองค์ระหว่างประเทศมาตลอดเวลา และล่าสุดก็ได้จัดส่ง ความช่วยเหลือ มนุษยธรรมให้กับ ประชาชนเมียนมาที่ได้รับผลกระทบและความเสียหายจากพายุไซโคลนโมก่า

7. ทั้งหมดนี้ ประเทศไทยยึดถือและปฎิบัติตามหลักการสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจ ความโปร่งใส และตรงไปตรงมา อย่างเคร่งครัด โดยไม่เอาตัวเองไปตัดสินใคร เพราะแต่ละ ประเทศต่างก็มี บริบทการเมือง สังคม และประวัติศาตร์แตกต่างกันไป ทุกประเทศต้องมีความเคารพอธิปไตย (sovereignty) ของทุกประเทศเช่นเดียวกับที่เราต้องการให้ ประเทศอื่น ๆ เคารพในอธิปไตยของไทยเฉกเช่นเดียวกัน มิฉะนั้นโลกจะลุกเป็นไฟ

ขอบคุณกระทรวงการต่างประเทศ ที่ชี้แจง ช้าไปหน่อย แต่ก็จะทำให้ประชาชนเข้าใจมากขึ้น ปิดทองหลังพระมาตลอด ภาพประกอบเมื่อไปดูสถานการณ์ชายแดนเมียนมาและเยี่ยมศูนย์ที่พักพิงทั้งสองด้านทางด่านและแม่สอด

 

 

 

 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ข่าวล่าสุด

สามเชฟดังร่วมรังสรรค์เมนูเพื่อการกุศลทางการแพทย์
"ทนายบอสพอล" เผยเป็นไปตามคาด "เอก สายไหม" ถูกจับ จ่อดำเนินคดีหมิ่นประมาท เรียกค่าเสียหาย 100 ล้าน
ศาลออกหมายจับ 'เจ๊หนิง' พร้อมสามีและหลาน ร่วมกันแจ้งความเท็จ 'ภรรยาบิ๊กโจ๊ก'
อิสราเอลถล่มเลบานอนดับครึ่งร้อย
หมายจับ ICC กระทบอิสราเอลอย่างไร
เปิดวิสัยทัศน์ประธานเครือข่ายธุรกิจ Bizclub นครราชสีมาคนใหม่ “กิม ฐิติพรรณ จันทร์ประทักษ์”
เกาหลีใต้ชี้รัสเซียส่งระบบป้องกันภัยทางอากาศให้เกาหลีเหนือ
สหรัฐเมินไฮเปอร์โซนิครัสเซียลั่นไม่หยุดหนุนยูเครน
เมียเอเย่นต์ค้ายาบ้า ร้องถูกตร.รีด 5 แสน แลกปล่อยตัว พ่วงเรียกเก็บเงินรายเดือน
สถาปนาเขตพื้นที่คุ้มครองฯ ชาติพันธุ์ชุมชนชาวเลโต๊ะบาหลิว

ดู LIVE รายการ

X

เราใช้ คุ้กกี้ เพื่อให้ทุกคนได้ประสบการณ์การใช้งานที่ดียิ่งขึ้น