วันที่ 21 ส.ค.64 นพ.อารักษ์ วงศ์วรชาติ ผอ.รพ.สิชล จ.นครศรีธรรมราช ได้โพสต์ทั้งข้อความและภาพลงเฟซบุ๊กส่วนตัวชื่อ “Arak Wongworachat” กรณีการผ่าตัดช่วยเหลือผ่าตัดทำคลอดหญิงตั้งครรภ์34สัปดาห์ จนปลอดภัยทั้งแม่และลูก โดยมีข้อความว่า”…เหตุเกิดเมื่อวานนี้ ได้รับรายงานเบื้องต้นมีผู้ป่วยโควิดตั้งครรภ์ 34 สัปดาห์ อาการไม่ดีทั้งแม่และทารกในครรภ์ จึงไปที่ตึกคลอดทันที เมื่อไปถึงมีทีมแพทย์ พยาบาลชุดใหญ่ รออยู่ประกอบด้วย สูติแพทย์ กุมารแพทย์ อายุรแพทย์ วิสัญญีแพทย์ และพยาบาลช่วยผ่าตัด พยาบาลวิสัญญี ครบทีม อยู่ในชุดปฏิบัติการเตรียมพร้อมช่วยชีวิตผู้ป่วยโควิดที่ตั้งครรภ์และทารกอยู่ในภาวะวิกฤติ ด้วยมีผู้ป่วยอายุ 27 ปี ติดเชื้อโควิด ตั้งครรภ์ 34 สัปดาห์ มานอนรักษาได้ 2 วัน มีอาการปอดบวม เชื้อลงปอด สัญญาณชีพแย่ลง ความดันต่ำ วัดค่าออกซิเจนในเลือดลดต่ำลง จาก 98 เหลือ 96 , 90 และ86 เปอร์เซ็นต์ตามลำดับ ในขณะเดียวกัน ได้ติดตามสัญญานชีพ ทารกในครรภ์ด้วยเครื่องตรวจจับการเต้นของหัวใจทารกและการดิ้นของเด็ก พบว่า หัวใจทารกเต้นเร็วมากกว่า 200 ครั้งต่อนาที เด็กดิ้นลดลง เป็นสัญญาณไม่ดี เด็กอาจขาดออกซิเจนจากแม่ไปด้วย หากทิ้งไว้ต่อไปโอกาสเสียชีวิตสูงมาก ในขณะที่ทารกในครรภ์อายุเพียงแค่ 34 สัปดาห์ การเอาทารกออกมาก่อนกำหนด ก็ถือเป็นความเสี่ยงอย่างหนึ่ง ที่จะต้องดูแลอย่างใกล้ชิด เนื่องจากทารกที่ยังไม่ครบกำหนด ระบบการหายใจยังไม่ปกติเหมือนทารกที่ตั้งครรภ์ครบกำหนด การดมยาสลบผู้ป่วยที่ติดโควิดแล้วปอดบวมก็มีความเสี่ยงอย่างมาก
ในระหว่างหารือได้สั่งการให้ทีม หมอดมยาสลบและพยาบาลช่วยผ่าตัดที่กักตัวจากการผ่าตัดเคสก่อนหน้านี้ ขึ้นมาเตรียมพร้อมทันที ที่ห้องผ่าตัด ในระหว่างนั้นพยาบาลห้องคลอดเข้ามารายงานว่า การเต้นของหัวใจทารกในครรภ์เริ่มลดลงและเบา ทีมจึงร่วมตัดสินใจทันทีว่าต้องให้เด็กรอด ทางรอดคือการผ่าตัดเอาเด็กออกทันทีโดยไม่ชักช้าและแม่ก็มีโอกาสรอดด้วย ไม่เช่นนั้นจะเสียชีวิตทั้งแม่และลูกในครรภ์ ดังข่าวที่ปรากฏหลายราย ทีมจึงจัดการทันที ย้ายผู้ป่วยเข้าห้องผ่าตัด ที่อยู่ติดกัน เตรียมรับเด็กช่วยฟื้นคืนชีพ หลังจากผู้ป่วยขึ้นเตียงผ่าตัด หมอวิสัญญี เริ่มวางยา ความดันของแม่ก็เริ่มต่ำลง หมอให้โหลดน้ำเกลือเพื่อคุมความดันให้คงที่ ให้ยากระตุ้นความดัน ทีมสูติแพทย์ เดินหน้าผ่าตัดเอาเด็กออกภายในเวลาไม่ถึง5นาที หมอเด็กเตรียมรับเด็ก เด็กออกมาไม่ร้องต้องช่วยชีวิต ให้ออกซิเจน ดูดน้ำคร่ำทางเดินหายใจ บีบแอมบูช่วยหายใจ อยู่ประมาณ 3 นาที จึงเริ่มร้อง “อุแว้” เสียงแรกออกมา เสียงแรกที่ได้ยิน คือเสียงแห่งความปิติของคนที่อยู่ในห้องผ่าตัดกว่า15คน ที่บีบคั้นหัวใจมาก่อนหน้านี้ ในระหว่างผ่าตัดต้องปิดเครื่องปรับอากาศชั่วคราว เพราะไม่ต้องการให้อุณภูมิทารกต่ำเกินไป ทุกคนอยู่ในชุด พีพีอี ที่ร้อนอบอ้าว ผ่าตัดแข่งกับเวลา จบปฏิบัติการ เย็บมดลูก ตรวจสอบจุดเลือดออก เช็คอุปกรณ์ผ่าตัดภายในช่องท้องไม่ให้ตกค้าง จนเย็บแผลปิดภายนอก ในเวลาเพียง 15 นาที ถือเป็นวินาทีชีวิต ปฏิบัติการที่รวดเร็วมาก เมื่อช่วยทารกจนอยู่ในระดับพ้นวิกฤติจึงรีบย้ายเข้าห้องอภิบาลทารกแรกคลอดในภาวะวิกฤติ แรงดันลบ ที่ตึกกุมารเวชกรรม ส่วนแม่ แยกย้ายเข้าดูแลผู้ป่วยวิกฤติห้องแรงดันลบตึกโควิด ยังคงใช้เครื่องช่วยหายใจ ปรับระดับสัญญาณชีพ ให้คงที่
เช้าวันนี้ แม่ยังคงใช้เครื่องช่วยหายใจ แต่วัดค่าออกซิเจนในเลือด ได้94 เปอร์เซ็นต์ เนื่องจากเอาทารกออกไปแล้วจึงทำให้ลดภาระการใช้ออกซิเจนของแม่ลง สัญญานชีพเริ่มคงที่ เป็นสัญญานที่ดี อยู่ภายใต้การดูแลของอายุรแพทย์ สูติแพทย์และทีมพยาบาลหอผู้ป่วยวิกฤติโควิดอย่างใกล้ชิด ส่วนทารกยังคงต้องดูแลใกล้ชิด ให้ออกซิเจน ใส่สายสวนทางสายสะดือเพื่อให้สารน้ำ ให้ยาต้านเชื้อ และเฝ้าติดตามอย่างใกล้ชิด ระวังภาวะการหายใจล้มเหลวเนื่องจากคลอดก่อนกำหนดและติดเชื้อในกระแสเลือด เป็นอีกหนึ่งปฏิบัติการที่เสี่ยงทั้งผู้ป่วยถึง 2 ชีวิตและทีมแพทย์ พยาบาล ที่ถูกกักตัวอยู่แล้ว เรียกมาปฏิบัติการอีกครั้ง การปฏิบัติการครั้งนี้ ต้องระดมทีมถึง30คนมาช่วยในปฏิบัติการครั้งนี้ เพื่อให้สำเร็จในเวลาอันรวดเร็ว ไม่ได้ดีที่สุด แต่พร้อมที่สุดในสถานการณ์เช่นนี้ ต่อจากนี้ต้องทุ่มเทอย่างเต็มที่เพื่อให้ทั้งคู่ปลอดภัย “
ซึ่งจากการโพสต์ลงเฟซบุ๊กดังกล่าวในโลกโซเซียล ได้เข้าแสดงความคิดเห็นให้กำลังใจจำนวนมาก นพ.อารักษ์และทีมแพทย์ รพ.สิชลทุกคนที่สามารถช่วยเหลือชีวิตหญิงตั้งครรภ์ที่ติดเชื้อโควิดจนรอดปลอดภัยทั้งแม่และลูก ในครั้งนี้
ด้าน นพ.อารักษ์ วงศ์วรชาติ ผอ.รพ.สิชล ได้กล่าวกับผู้สื่อข่าวว่า เหตุการณ์นาทีช่วยเหลือหญิงตั้งครรภ์และทารกที่ติดโควิดในครั้งนี้ถือว่าเป็นวินาทีบีบหัวใจทีมแพทย์เป็นอย่างมากแต่เหตุการณ์ก็ผ่านพ้นไปด้วยดี ขอบคุณทุกกำลังใจและขอบคุณทีมแพทย์ทุกคนที่สามารถผ่านวิกฤติครั้งนี้ไปได้