วันที่ 28 มิ.ย. 66 นายสมชาย แสวงการ สมาชิกวุฒิสภา ให้สัมภาษณ์ท็อปนิวส์ ถึงกรณีที่นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรค แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี พรรคก้าวไกล ระบุมีเสียงสนับสนุนจากส.ว.เพียงพอที่จะดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ว่า เข้าใจว่าคงได้รับรายงานมาไม่ละเอียด เพราะการติดต่อส.ว.โดยให้ส.ส.ที่เคยไปเรียนหลักสูตร กปร.บ้าง หรือหลักสูตรต่าง ๆ มีการ ติดต่อส.ว.จริง หลายคนเล่าให้ตนฟังว่าเพื่อนที่เรียนร่วมกันทั้งก้าวไกล เพื่อไทย มาติดต่อ ทาบทามเพื่อโหวตให้นายพิธา เป็นนายกฯ และพยายามชี้แจงเรื่องมาตรา 112 เรื่องความมั่นคงที่เราเป็นห่วง ซึ่งส.ว.ก็รับฟัง แต่ไม่ได้หมายความว่าส.ว.จะเลือก สิ่งที่ส.ว.ห่วง และกังวล และยังไม่ได้แก้ไขคือ 1 นายพิธา ส.ส.พรรคก้าวไกล และเครือข่ายพรรคก้าวไกล รวมถึงองค์กรที่เคลื่อนไหวร่วมกัน ไม่ว่าจะเป็นคณะก้าวหน้า หรือกลุ่มเอ็นจีโอต่าง ๆ ยังมีข้อกังขาเยอะมาก และพรรคก้าวไกลยืนยันที่จะเสนอแก้มาตรา 112 ซึ่งมาตรา 112 เป็นเพียงเสี้ยวเดียวที่เห็นถึงปัญหา ร่างแก้ไขม.112 ที่พรรคก้าวไกลแก้เป็นการลดโทษผู้กระทำผิดแทบไม่เหลืออะไรเลย ตัดเรื่องการหมิ่นประมาทศาล และยังลดโทษหมิ่นประมาทระหว่างประชาชนอีกให้เหลือโทษปรับอย่างเดียว ซึ่งจะทำให้เกิดความโกลาหลในสังคม และ 2 คือเรื่องความมั่นคงอื่น ๆ ของชาติ ไม่ใช่แค่ความมั่นคงทางทหาร แต่ไปล้มรัฐธรรมนูญทั้งหมด โดยอ้างว่าทำประชามติ แล้วร่างใหม่ทั้งฉบับโดยไม่มีกรอบ โดยส.ส.ร.ที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน ซึ่งที่ผ่านมายังไม่เคยมีส.ส.ร.ที่มาจากการเลือกตั้งโดยตรงจากประชาชนเลย เมื่อปี 2540 ส.ส.ร.มาจากการเลือกกันเอง และให้ส.ส.เลือกอีกครั้งหนึ่ง ระบบการเลือกตรงไม่เคยมีในประเทศไทย ถ้าเราใช้ส.ส.ร.เลือกตรงมาอย่างเดียว ไม่มีหลักประกันเลยว่าจะใช้กรอบอะไร
นายสมชาย กล่าวว่า การที่พรรคก้าวไกลออกมาบอกว่าร่างรัฐธรรมนูญใหม่ทุกหมวด หมวด 1 ประเทศไทยเป็นราชอาณาจักรแบ่งแยกไม่ได้ มีมาตั้งแต่รัฐธรรมนูญฉบับแรก ปี 2475 ขณะนี้เราเห็นปัญหาถึงการไปรณรงค์รัฐปัตตานี ล้านนา การเลือกตั้งผู้ว่าราชการจังหวัดทั่วประเทศ การให้มีเขตปกครองพิเศษ ในการอภิปรายหลายครั้งที่อ้างว่าทางวิชาการ นั่นคือกำลังตัดข้อความความเป็นราชอาณาจักรหนึ่งเดียว แบ่งแยกมิได้ ตัดอันนี้ออกหรือเปล่า หมวด 2 เรื่องพระมหากษัตริย์ มีการอภิปรายหลายครั้งที่อ้างว่าเป็นเวทีวิชาการ และมีการรณรงค์ต่อเนื่องทั้งในโซเชียลและกลุ่มของพวกคุณ คณะก้าวหน้า เพราะฉะนั้นทัศนคติที่เป็นปัญหาต่อการเคลื่อนไหวที่จะร่างรัฐธรรมนูญขึ้นมา ไม่ว่าจะเป็นหมวด 1 ที่กระทบต่อความมั่นคงของประเทศ ความเป็นชาติ กระทบเรื่องพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ ตัดองคมนตรีออก ต่อไปไม่ต้องมีที่ปรึกษาของพระมหากษัตริย์ การเปลี่ยนวันชาติ
“การเปลี่ยนสิ่งเหล่านี้คือแนวคิดที่อยู่ในเบื้องลึกของคุณ ขณะที่เราไม่สบายใจ และส.ส.แต่ละคนอาจจะอยากมีผลงานก็ไปเล่าว่า ติดต่อส.ว.แล้ว ติดต่อจริงครับ แต่ตนก็ตรวจสอบแล้วทุกท่านก็บอกว่ารับฟัง แต่ไม่ได้ตอบว่าจะเลือกที่ประกาศตัวชัดเจนว่าจะเลือกนายพิธาเป็นนายกรัฐมนตรี โดยไม่มีเงื่อนไข ก็มีอยู่ 5 ท่านจริง ๆ ส่วนที่เหลืออาจจะมีเพิ่มเล็กน้อย แต่ไม่น่าเกิน 10 คน ถ้านายพิธา ส.ส.ก้าวไกล มวลชน และคณะก้าวหน้า ยังมีวิธีคิดแบบเดิม กระทบต่อความสงบสุขของประเทศ ตนสนับสนุนคนรุ่นใหม่ แต่วันนี้เรามีข้อกังขาที่ต้องการคำตอบ และต้องการให้ลดเพดานลง และกลับมาพัฒนาประเทศร่วมกัน สิ่งเหล่านี้ไม่ได้เป็นปัญหา ๆ อยู่ที่วิธีคิดของพวกคุณ ที่มองว่าสถาบันพระมหากษัตริย์เป็นปัญหาของพวกคุณ คนไทยทั้งประเทศไม่มีปัญหาเลย การที่เราอยู่ในกฎ กติกาการปกครองระบอบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข เกิดขึ้นมา 91 ปีแล้ว ถ้าคณะราษฎร ทำเมื่อตอน 2475 ถ้าทำสำเร็จ เขาทำไปแล้ว ที่ไม่สำเร็จเพราะคนไทยสมัยนั้นก็ไม่ยอม วันนี้คุณจะมาทำเขาก็ไม่ยอม มันจะเกิดสงครามกลางเมือง หรือจะเกิดสิ่งที่เราไม่อยากให้เกิด คือการปะทะกันระหว่างมวลชน ดังนั้นข้อมูลที่นายพิธาได้รับต้องตรวจสอบจากส.ส.ว่าจริงหรือไม่ แต่ตนตรวจสอบส.ว.แล้วไม่เป็นความจริง” นายสมชาย กล่าว