ชาวบ้านริมคลองเปรมฯ ขอบคุณ “บิ๊กตู่” เปลี่ยนชุมชนแออัดสู่แลนด์มาร์คแห่งใหม่ ทำคุณภาพชีวิตดีขึ้น

ทีมข่าว Top News ลงพื้นที่พูดคุยกับชาวบ้านชุมชนประชาร่วมใจ 1 กับคุณภาพชีวิตครั้งใหม่ ที่ "บิ๊กตู่" เนรมิตให้เป็นแลนด์มาร์คแห่งใหม่ ริมคลองเปรมประชากร จากเดิมที่เป็นชุมชุมแออัด

ตลอดระยะ 8 ปีที่ผ่านมา เมื่อพูดถึงผลงานที่รัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้ทำไว้นั้นมีมากมายหลากหลายโครงการ หนึ่งในนั่นคือโครงการพัฒนาที่อยู่อาศัยชุมชนริมคลองเปรมประชากร ซึ่งกลายเป็นผลงานชิ้นโบว์แดงของ “บิ๊กตู่” ได้สร้างรอยยิ้ม เสียงชื่นชม และความตื่นตาตื่นใจ ให้กับชาวบ้านเป็นอย่างมาก

 

 

 

 

หากย้อนกลับไปหลังน้ำท่วมใหญ่ในกรุงเทพฯ ปี 2554 รัฐบาลจึงมีแผนงานการแก้ไขสิ่งปลูกสร้างรุกล้ำลำคลองในกรุงเทพฯ เนื่องจากเห็นว่าเป็นอุปสรรคในการระบายน้ำลงสู่คลอง โดยเฉพาะในช่วงฤดูฝน น้ำจากท่อระบายน้ำทิ้งส่วนใหญ่ จะไหลและถูกสูบลงคลอง แต่การระบายน้ำไม่มีประสิทธิภาพ เพราะมีสิ่งปลูกสร้างกีดขวางทางเดินน้ำในลำคลอง โดยจะมีการรื้อย้ายบ้านเรือนที่รุกล้ำลำคลอง เพื่อก่อสร้างเขื่อนระบายน้ำในคลอง ขุดลอกคลองให้ลึกและกว้างกว่าเดิม

 

 

 

 

แต่กว่าจะดำเนินการได้ก็ล่วงเข้าไปในสมัยของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เริ่มดำเนินการในคลองลาดพร้าว เป็นคลองแรกในปี 2559 โดยรัฐบาล คสช. ได้จัดตั้ง ‘คณะกรรมการบริหารจัดการสิ่งก่อสร้างรุกล้ำลำน้ำสาธารณะ’ มีพลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน จึงมอบหมายให้กรุงเทพมหานคร รับผิดชอบการสร้างเขื่อนระบายน้ำ และให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ โดยสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน) หรือ ‘พอช.’ จัดทำแผนงานพัฒนาที่อยู่อาศัยรองรับชาวชุมชนริมคลองที่ต้องรื้อย้ายออกจากแนวคลองและแนวเขื่อน

 

 

 

ข่าวที่น่าสนใจ

จากวันนั้นจนถึงวันนี้ ชุมชนริมคลองเปรมประชากรได้ถูกปรับโฉม และต่างจากอดีตอย่างสิ้นเชิง แทบไม่เหลือเค้าโครงเดิมไว้แม้แต่น้อย กระทั่งทีมข่าวท็อปนิวส์ได้ลงพื้นที่ไปยัง บริเวณที่มีการปรับภูมิทัศน์ โดยมีการสร้างทำสะพานเชื่อมระหว่างชุมชนประชาร่วมใจ 1 กับวัดเสมียนนารีเชื่อมต่อด้วยกัน ซึ่งที่ผ่านมาชุมชนแห่งนี้ เคยเป็นบ้านไม้ที่สร้างขึ้นรุกล้ำริมคลอง ทางสำนักงานเขตจตุจักรจึงร่วมกับสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน) เข้าดำเนินการปรับปรุงภูมิทัศน์คลองเปรมประชากร จัดสร้างบ้านมั่นคงให้กับชุมชนประชาร่วมใจ 1 ปัจจุบันประชาชนย้ายเข้าอาศัยอยู่เรียบร้อยแล้ว

 

 

เช่นเดียวกับ นางวรรณดี ชูเชิด อายุ 68 ปี หรือป้าหมู ประกอบอาชีพขายอาหารตามสั่ง และอยู่อาศัยในชุมชนแห่งนี้มากว่า 40 ปี ไม่เพียงเท่านั้น ป้าหมู เล่าว่าตนอยู่มาตั้งแต่สมัยที่ใครหลายคนขนานนามชุมชนแห่งนี้ว่าเป็นสลัมหลังวัดเสมียนนารี ที่ไม่มีใครอยากจะเดินทางเข้ามา แต่ปัจจุบันสลัมแห่งนี้ ได้กลายเป็นบ้านมั่นคงให้กับชาวบ้านในชุมชนประชาร่วมใจ 1 และกลายเป็นเมืองสวรรค์ของเหล่าชาวบ้านและลูกหลาน ความสำเร็จและฝันที่เป็นจริงนี้ จะเกิดขึ้นไม่ได้แน่นอน หากไม่มีผู้ชายที่ชื่อ “พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา” หรือลุงตู่

ที่ได้เล็งเห็นถึงความสำคัญ เกี่ยวกับคุณภาพชีวิตที่ดีของชาวบ้าน จึงเนรมิตชุมชนแห่งนี้ รวมกว่า 250 หลังคาเรือน สร้างขึ้นเป็นตึก 2 ชั้น ตลอดแนวตั้งแต่หลังวัดเสมียนนารี เรียงยาวไปถึงช่วงถนนงามวงศ์วาน ผนังทาด้วยสีฟ้าตัดกับหลังคาสีน้ำเงิน ด้านข้างของตึกมีการเพ้นท์ลวดลายสวยงาม ด้านหน้าบ้านมีการตกแต่งด้วยต้นไม้หลากชนิดสร้างความร่มรื่น

 

 

นอกจากนี้ ทีมข่าวท็อปนิวส์ ยังได้พูดคุยกับ นางหิรัณยเกศ วันแพ อายุ 50 ปี หรือ ป้าหน่อง ประกอบอาชีพเปิดร้านขายเครื่องดื่ม โดยป้าหน่อง เล่าให้ทีมข่าวท็อปนิวส์ฟังว่า ในอดีตชุมชนแห่งนี้ เป็นชุมชนที่ไม่เคยมีใครอยากเดินเข้ามา เพราะเป็นชุมชนที่แออัด อีกทั้งถูกตีตราว่าเป็นสลัม พอขึ้นชื่อว่าเป็นสลัม ทุกคนต่างส่ายหน้า ไม่มีใครอยากเข้าใกล้ และกลายเป็นชุมชนที่ถูกมองข้าม ซ้ำแล้วซ้ำเล่า กระทั่งมาในยุคของรัฐบาล “ลุงตู่” บรรยากาศโดยรอบของชุมชนนี้ ก็เปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิงต่างจากอดีตลิบลับ

 

 

อีกทั้งสภาพโดยรวมทั้งหมด ดูสะอาดสะอ้านสบายตา มีสะพานลักษณะโค้ง มีราวกันตกสีเขียวมองดูสวยงาม มีบันไดขึ้น-ลง และตรงกลางเป็นทางพื้นเรียบสำหรับจูงจักรยานขึ้นได้ด้วย สะพานมีความมั่นคงแข็งแรงเหมาะสมกับการใช้งานและเดินทางผ่านไปผ่านมาของพี่น้องประชาชน เพื่อข้ามลำคลองมายังวัดเสมียนนารี และสามารถเดินทางเชื่อมโยงไปยังรถไฟฟ้าสายสีแดงเพิ่มความสะดวกในการเดินทาง และนี่จึงเป็นผลงานชิ้นโบว์แดงที่ลุงตู่ทำไว้ให้

 

 

อย่างไรก็ตาม จากการปรับภูมิทัศน์ให้กับชุมชนแห่งนี้ เพื่อเป็นบ้านเรือนที่อยู่อาศัยแล้ว ยังเป็นการปรับปรุงเพื่อให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวของชุมชนในด้านการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม ที่สำคัญจะเป็นแหล่งสร้างอาชีพให้กับประชาชนที่อยู่ริมคลองเปรมประชากรในอนาคตอีกด้วย

 

 

 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ข่าวล่าสุด

"สุดาวรรณ" เยี่ยมชมชุมชนชาวเลสังกาอู้-วิถีวัฒนธรรมชาวเลอูรักลาโวยจ จ.กระบี่
สจ.ธรรมชาติฟ้องตรงอัจฉริยะเรียกค่าเสียหาย 10 ล้านบาท
อย.ตรวจพบสารอันตรายใน อาหารเสริม “กัมมี่” แบรนด์ดัง เร่งดำเนินคดีตามกม.ผู้ผลิต
กระบะสี่ประตูถอยชนกระบะแคปในปั้มน้ำมันแล้วหนีไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น สาววัย 41 ปี เจ้าของกระบะแคปหวังเพียงคำขอโทษ
ตระกูล "สิงห์โตทอง" ทิ้งกระจาด ข้าวสาร-อาหารแห้ง 1 พันชุด ย้อนรำลึก "อดีตสส.ดรงค์ สิงห์โตทอง" ผู้ก่อตั้งสมาคมกลุ่มอาชีพการเกษตรชลบุรี ในวันชาวไร่อ้อยชลบุรี
สมศักดิ์ เผย มี ปชช. ร่วมนับคาร์บ ลดป่วย NCDs แล้วกว่า 6.4 แสนคน เดินหน้าอีก 16จว.กลาง-ตะวันออก
กรมส่งเสริมสหกรณ์ขอขยายเวลาโครงการสนับสนุนสินเชื่อสถาบันเกษตรกรแปรรูปยางพาราอีก 10 ปี หวังเสริมสภาพคล่องต่อยอดธุรกิจให้สหกรณ์ชาวสวนยาง
ทบ.สั่งย้าย เจ้ากรมยุทธศึกษาทหารบก เซ่นปมทำร้ายร่างกายกำลังพล
บ.สยาม ควอลิตี้ สตาร์ช จำกัด จัดงาน “MODEL SMS 20R” ขยายพันธุ์ต้านทานโรคใบด่างมันสำปะหลัง ภายใน 5 ปี ชัยภูมิต้องปลอดจากการระบาดเป็นจังหวัดแรก
ตร.แจงชัด ติดข้อกม. ยังไม่ได้ตัว "เสี่ยโจ้ ปัตตานี" พ่อค้าน้ำมันเถื่อนใหญ่ พบเบาะแสหนีอยู่กัมพูชา

ดู LIVE รายการ

X

เราใช้ คุ้กกี้ เพื่อให้ทุกคนได้ประสบการณ์การใช้งานที่ดียิ่งขึ้น